Ran khaa ya






 
ด้านเศรษฐกิจและการคลัง

       พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเห็นว่าการเก็บภาษีแบบเดิม ที่แต่ละหน่วยงานแยกกันเก็บแล้วส่งมาให้ส่วนกลาง ทำให้เงินภาษีรั่วไหลมาก จึงทรงปฏิรูประบบภาษีอากรและการคลังใหม่ โดยจัดตั้ง หอรัษฎากรพิพัฒน์ ขึ้นเมื่อวันที่ ๔ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๑๖ เพื่อเป็นสถานที่รวบรวมพระราชทรัพย์ในท้องพระคลังให้รู้จำนวนเงินที่มีอยู่ ทำหน้าที่รวบรวมเงินภาษีอากรจากทั่วประเทศให้มาอยู่ที่เดียวกันเพื่อนำเงินภาษีมาพัฒนาประเทศ
       ในปี พุทธศักราช ๒๔๓๓ ได้ยกกรมพระคลังมหาสมบัติเป็นกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ มีหน้าที่รับจ่ายและรักษาเงินแผ่นดิน รักษาบัญชีพระราชทรัพย์ของแผ่นดิน และตั้งกรมที่ทำหน้าที่เก็บภาษีอากรโดยเฉพาะ เช่น กรมสรรพกร กรมสรรพภาษี กรมส่วย กรมอากรที่ดิน และกรมศุลกากร การปฏิรูประบบภาษีอากรและการคลัง ทำให้เงินภาษีไม่รั่วไหลและเก็บภาษีได้เพิ่มขึ้น ทำให้รายได้ของประเทศเพิ่มขึ้น และนำเงินรายได้นั้นมาพัฒนาประเทศทั้งการสาธารณูปโภค การคมนาคมสื่อสาร
       นอกจากนี้ได้มีการจัดทำงบประมาณแผ่นดินเป็นครั้งแรกใน พุทธศักราช ๒๔๓๙ ซึ่งเป็นการวางระเบียบและควบคุมการใช้จ่ายของประเทศให้รัดกุมและเหมาะสม มีการกำหนดเงินเดือนของข้าราชการและเงินค่าใช้จ่ายส่วนพระองค์ที่แน่นอนเงินของประเทศและเงินส่วนพระองค์จึงแยกออกจากกัน โดยมีพระคลังข้างที่เป็นผู้ดูแลพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ส่วนเงินของประเทศให้กระทรวงพระคลังมหาสมบัติดูแล
       
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีการเปลี่ยนแปลงระบบเงินตราที่สำคัญประการหนึ่ง คือ การเปลี่ยนแปลงระบบเงินตราจากมาตรฐานเงินเป็นมาตรฐานทองคำ ในพุทธศักราช ๒๔๕๑ และกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนที่แน่นอน คือ ๑๓ บาทต่อ ๑ ปอนด์สเตอร์ลิง ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของกการนำค่าของเงินไปผูกพันและเกี่ยวข้องกับโลกภายนอก ทำให้เสถียรภาพและฐานะทางเศรษฐกิจของไทยในสายตาของต่างชาติดีขึ้น ประเทศที่ใช้มาตรฐานทองคำเช่นกันมีความมั่นใจในค่าของเงินไทย และมั่นใจที่จะเข้ามาลงทุนในไทย ส่งผลให้การลงทุนและการค้าระหว่างประเทศขยายตัวมากยิ่งขึ้น และมีการปฏิรูปที่สำคัญอีกประการคือ ในปี พุทธศักราช ๒๔๔๑ ได้มีการกำหนดมาตราเงินใหม่ เหลือเพียง ๒ หน่วยคือ บาทกับสตางค์ โดย ๑ บาทเท่ากับ ๑๐๐ สตางค์ ประกาศเลิกใช้เงินพดด้วงใน พุทธศักราช ๒๔๔๗ และมีการใช้ธนบัตรแทนเงินเหรียญที่พกพาไม่สะดวกเพราะมีน้ำหนักมาก โดยออก "พระราชบัญญัติธนบัตร ร.ศ. ๑๒๑"(พุทธศักราช ๒๔๔๕) ธนบัตรรุ่นแรกมี ๕ ราคา คือ ๕ บาท ๑๐ บาท ๒๐ ๑๐๐ บาท และ ๑,๐๐๐ บาท ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัฐบาลไทยได้ตั้งกรมธนบัตรขึ้นเพื่อทำหน้าที่ออกธนบัตรโดยตรงใน พุทธศักราช ๒๔๕๕
       ส่วนกิจการธนาคารนั้นในระยะแรกเป็นของชาวต่างประเทศ ในพุทธศักราช ๒๔๔๗ พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นมหิศรราชหฤทัย เสนาบดีกระทรวงพระคลังมหาสมบัติเป็นหัวหน้าร่วมลงทุน จัดตั้งธนาคารขึ้นมา เรียกว่า บุคคลัภย์ (Book Club) ในพุทธศักราช ๒๔๔๙ เปลี่ยนชื่อเป็น บริษัทแบงก์สยามกัมมาจล จำกัด (The Siam Commercial Bank Ltd.) และใน พุทธศักราช ๒๔๘๒ ได้เปลี่ยนชื่อเป็น ธนาคารไทยพานิชย์ ซึ่งยังคงใช้มาจนปัจจุบัน



เว็บไซต์นี้ ดูให้สวยด้วย IE. เวอร์ชั่น 5.0 ขึ้นไป ความละเอียด 800 X 600 Text Size Medium
โครงการประกวดเว็บไซต์เทิดพระเกียรติในหัวข้อ "พ่อหลวงปิยมหาราช" ของมหาวิทยาลัยเจ้าพระยา
สร้างสรรค์โดยนักเรียนโรงเรียนนวมินทราชูทิศ มัชฌิม อำเภอ เมือง จังหวัด นครสวรรค์
SITEMAP นโยบายความเป็นส่วนตัว
นโยบายการคืนสินค้า
กฎของร้าน