1 ความสัมพันธ์เชิงระบบระหว่างชีวิตกับสิ่งแวดล้อม และความหลากหลายทางชีวภาพ
1.1 ความสัมพันธ์ระหว่างชีวิตกับสิ่งแวดล้อม มนุษย์จัดว่าเป็นส่วนหนึ่งหรือองค์ประกอบหนึ่งของระบบนิเวศ ซึ่งจำเป็นต้องใช้ธาตุอาหารและพลังงานที่มีอยู่ในระบบนิเวศเช่นเดียวกับสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ แต่มนุษย์ไม่ได้จำกัดการใช้ธาตุและพลังงาน จากระบบนิเวศชนิดเดียวเท่านั้น แต่มีความสามารถที่จะใช้ธาตุอาหารและพลังงาน จากระบบนิเวศทุกระบบที่มีอยู่ในโลกทั้งหมด เช่น สามารถที่จะนำสัตว์ทะเลมาเป็นอาหาร นำน้ำจากใต้ดินขึ้นมาดื่ม นำพืชที่อยู่ในป่ามาเป็นอาหาร ฯลฯ นอกจากนี้มนุษย์ยังมีวิวัฒนาการการใช้ทรัพยากรทั้งหลายที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น ไม่ได้ใช้ทรัพยากรเพื่อตอบสนองความต้องการของร่างกายปกติเท่านั้น แต่มนุษย์ใช้ทรัพยากรเพื่อตอบสนองความต้องการด้านอื่นด้วย เช่น ที่อยู่อาศัย เสื้อผ้า เครื่องประดับ น้ำมันเชื้อเพลิง และแร่ธาตุต่าง ๆ ที่สะสมอยู่ภายในโลก
ในปัจจุบันมนุษย์เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว จึงก่อให้เกิดผลกระทบต่อระบบนิเวศ หรือต่อสิ่งแวดล้อมอย่างมากมาย และในที่สุดมนุษย์ก็จะได้รับผลกระทบจากสิ่งแวดล้อมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
การเพิ่มประชากรทำให้คุณภาพของสิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรม การเพิ่มของประชากรก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยทำให้สิ่งแวดล้อมเสื่อมทรามลงดังนี้
1.สิ่งแวดล้อมทางกายภาพ เช่น ปัญหาน้ำเสีย อากาศเสีย ฝุ่นละออง และขยะ มูลฝอย เป็นต้น
2. สิ่งแวดล้อมทางชีวภาพ เช่นการสูญเสียระบบนิเวศที่ดีของสัตว์บกและสัตว์น้ำไป
3. การใช้ประโยชน์ของมนุษย์ จากทรัพยากรธรรมชาติ ที่มีอยู่เปลี่ยนแปลงไป เช่น เรื่องของการใช้น้ำ เพื่อการอุปโภคบริโภค และการคมนาคมขนส่ง เป็นต้น
4. คุณภาพชีวิต คุณภาพชีวิตของประชาชนที่เปลี่ยนแปลงไป ตามสภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปด้วยปัญหาของเมือง ปัญหาการอพยพย้ายถิ่นฐาน ปัญหาการจราจร ซึ่งรวมไปถึงปัญหาการดำรงชีวิต และปัญหาสุขภาพอนามัย เป็นต้น
ผลกระทบของปัญหาสิ่งแวดล้อมต่อคุณภาพชีวิต
การเพิ่มจำนวนของประชากรมีผลโดยตรงต่อการเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อม และปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นก็ย่อมส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของประชากร รวมทั้งก่อให้เกิดปัญหากับประชากรด้วยเช่นกัน ดังมีกรณีตัวอย่างดังต่อไปนี้
1. การขาดแคลนอาหาร แม้ว่าผลิตผลทางการเกษตรของหลายประเทศ โดยเฉพาะประเทศที่กำลังพัฒนา จะมีปริมาณมาขึ้นก็ตาม แต่สำหรับประเทศที่พัฒนาแล้วผลผลิตจะคงที่ ขณะเดียวกันการเพิ่มจำนวนของประชากรทั้งโลกก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จึงทำให้ประเทศที่มีความยากจนและขาดแคลนทรัพยากรธรรมชาติ ยังคงขาดแคลนอาหารมากยิ่งขึ้น ดังกรณีตัวอย่างในประเทศในทวีปแอฟริกาหลายประเทศ เช่น เคนยา เอธิโอเปีย โซมาลี ต้องล้มตายลง เนื่องมาจากการขาดแคลนอาหาร ส่วนที่มีชีวิตอยู่ก็เป็นประชากรที่ ไม่สมบูรณ์ทั้งทางสมองและร่างกาย มีการประมาณกันว่าประชากรของโลกอย่างน้อยต้องตายลงเพราะการขาดอาหารอย่างน้อยปีละ 15 ล้านคน
2. การเกิดโรค การเพิ่มสารพิษในสิ่งแวดล้อม เช่น สารพิษจากการเกษตร น้ำเสียและควันจากโรงงานอุตสาหกรรม ควันจากท่อไอเสียรถยนต์ ฯลฯ ล้วนเป็นสาเหตุที่ก่อให้เกิดอันตรายแก่สุขภาพอนามัยของผู้ที่ได้รับสารพิษเหล่านั้น อันตรายจากสารพิษมีตั้งแต่เล็กน้อย เช่น วิงเวียน ปวดศีรษะ แพ้อากาศ ไปถึงการเกิดโรคร้ายแรง เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจ และถ้าได้รับสารพิษ ในปริมาณมาก ก็ทำให้เสียชีวิตได้ทันที
ในประเทศไทย เคยพบว่าผู้ที่ดื่มน้ำที่มีสารหนูเจือปน ในจังหวัดนครศรีธรรมราช ที่เป็นพื้นที่เหมืองเก่า ทำให้ผิวหนังมีผื่นขึ้นทั่วไป การกินอาหารที่มีสารพิษตกค้างจากการเกษตร สารพิษที่เกิดจากการปรุงแต่งสีและรสชาด อาจเป็นต้นเหตุให้เกิดโรคหัวใจ มะเร็ง โรคผิวหนัง โรคตับ และมีผลต่อทารกในครรภ์มารดา การอยู่ในบริเวณที่เสียงดังเกินกว่า 80 เดซิเบล เป็นเวลานานก็อาจทำให้หูตึงได้
3. การอพยพย้ายถิ่น การขาดแคลนทรัพยากรธรรมชาติและความแห้งแล้ง ทำให้ประชากรในหลายประเทศต้องอพยพย้ายถิ่น ไปหาแหล่งที่อยู่ใหม่ ทั้งเป็นการอพยพย้ายถิ่นภายในประเทศและระหว่างประเทศ ประเทศในทวีปแอฟริกาและเอเชีย นับว่ามีการอพยพ ย้ายถิ่นสูงกว่าประเทศในยุโรป และอเมริกาเหนือ
การอพยพย้ายถิ่นระหว่างประเทศในปัจจุบัน มักจะเกิดขึ้นหลายสาเหตุ ทั้งสาเหตุทางการเมือง ทางเศรษฐกิจ ความขัดแย้งทางความคิด และการขาดแคลนทรัพยากรธรรมชาติที่เป็นปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิต
4.ปัญหาสังคม การขาดแคลนทรัพยากรได้ก่อให้เกิดปัญหาสังคมตามมา เช่น การที่ประชาชนบุกรุกป่าพื้นที่ป่าสงวน การตัดไม้อย่างผิดกฎหมายของผู้มีอิทธิพล เกิดการลอบทำร้ายซึ่งกันและกัน รวมทั้งเป็นช่องทางให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในการควบคุมดูแลทรัพยากร ประพฤติทุจริตต่อหน้าที่ จะเห็นได้ว่าปัญหาสังคมหลายอย่างมักจะมีสาเหตุมาจาก การแย่งชิงทรัพยากรธรรมชาติ เป็นสาเหตุสำคัญ
5. ความยากจน ต้นเหตุของปัญหาความยากจนที่เกิดขึ้นในโลกประการหนึ่งคือ การที่ประชากรของประเทศ ขาดแคลนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่มีความอุดมสมบูรณ์ ประเทศที่จัดว่ามีความยากจน ก็มักจะเป็นประเทศที่มีจำนวนประชากร และความหนาแน่นของประชากรมาก เช่น จีน อินเดีย บังคลาเทศ ยกเว้นในประเทศที่ขาดแคลนทรัพยากรธรรมชาติ แต่ถ้าประชากรมีความรู้ดี ก็สามารถใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในการแสวงหา เปลี่ยนแปลงและแลกเปลี่ยนทรัพยากรธรรมชาติได้ เช่น ญี่ปุ่น อังกฤษ ฝรั่งเศส เป็นต้น
6.ขาดที่พักผ่อนหย่อนใจ สิ่งแวดล้อมทางธรรมชาตินับว่าเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจที่ดีของมนุษย์ จะเห็นได้ว่าเมื่อบ้านเมืองมีความเจริญมากขึ้นเท่าไร ความต้องการสถานที่พักผ่อนหย่อนใจตามธรรมชาติก็ยิ่งมีความจำเป็นมากยิ่งขึ้นทุกวัน ในปัจจุบันประชากรที่อาศัยอยู่ในเมือง จะนิยมออกไปพักผ่อนตามชายทะเล น้ำตก อุทยานแห่งชาติ เขตสงวนพันธุ์สัตว์ป่ามากยิ่งขึ้น แต่สถานที่สำหรับพักผ่อนหย่อนใจกลับมีอยู่อย่างจำกัด เมื่อประชากชนออกไปใช้กันมากขึ้น ก็กลับทำให้เกิดสิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรม เช่น ที่บางแสน พัทยา สิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติจะอยู่ในสภาพเสื่อมโทรม
7. ขาดสถานที่ศึกษาหาความรู้ สิ่งแวดล้อมหรือธรรมชาติเป็นแหล่งที่จะให้ความรู้ที่สำคัญแก่มนุษย์ได้ โดยตรง ไม่ว่ามนุษย์จะมีความก้าวหน้าขึ้นมากเท่าใด แต่การดำรงชีวิตของมนุษย์ ก็ยังคงจะต้องอาศัยปัจจัยในการดำรงชีวิตที่มีอยู่ในธรรมชาติ การเรียนรู้เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมที่อยู่โดยรอบตัวมนุษย์ จึงเป็นเรื่องที่จำเป็นที่จะต้องศึกษาหาความรู้ต่อไป แต่การเปลี่ยนแปลง และก่อให้เกิดความเสื่อมโทรมสิ่งแวดล้อมในปัจจุบัน จะทำให้มนุษย์ขาดสถานที่ ที่จะศึกษาหาความรู้ได้โดยตรง ทำให้เกิดความยากลำบากที่จะส่งเสริมให้เกิดความรักและหวงแหนธรรมชาติและจะมีผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของมนุษย์ในอนาคต
วิเคราะห์ปัญหาชีวิตกับสิ่งแวดล้อม
ปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้น เช่น อากาศเสีย น้ำเสีย การสูญเสียป่าไม้ ฯลฯ ต่างก็เกิดขึ้นเนื่องจากกิจกรรม ในการดำรงชีวิตของมนุษย์ ที่จะต้องพึ่งพาอาศัยสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ ในที่สุดมนุษย์ก็จะได้รับผลที่เกิดขึ้นกับสิ่งแวดล้อม เช่น การเกิดโรคภัยไข้เจ็บ เกิดการขาดอาหาร เกิดการอพยพครอบครัว ฯลฯ ตามมา ดังนั้นถ้าจะวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อมแล้ว จึงพอจะทราบสาเหตุของความเสื่อมทรามของสิ่งแวดล้อมว่า เกิดมาจากสาเหตุดังต่อไปนี้
1. จำนวนประชากรมากเกินไป การเพิ่มจำนวนประชากร ทำให้มีความต้องการที่จะใช้ทรัพยากรทุกชนิดเพิ่มขึ้น เช่น ความต้องการอาหารเพิ่มขึ้น ทำให้เกิดการบุกรุกที่ดินในเขตป่าสงวน ทำให้มีอัตราการใช้พื้นที่เพาะปลูกเพิ่มขึ้น ต้องใช้ปุ๋ยและยาฆ่าแมลงเพิ่มขึ้น ทำให้ฝนไม่ตกตามฤดูกาล ก่อให้เกิดอากาศร้อนและแห้งแล้ง ฯลฯ
2. ธรรมชาติขาดความสมดุล การร่อยหรอของทรัพยากรธรรมชาติในปัจจุบัน ก็เนื่องมาจากการกระทำของมนุษย์ที่มีการใช้ทรัพยากรเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว จนทำให้สิ่งแวดล้อมหรือระบบนิเวศไม่สามารถปรับตัวให้อยู่ในสภาพสมดุลได้ เมื่อองค์ประกอบในระบบนิเวศขาดหายไป ทำให้เกิดการปรับสภาพสิ่งแวดล้อมขึ้นมาใหม่ แต่ก่อนหน้านั้นความไม่สมดุลของธรรมชาติได้เกิดขึ้นแล้ว และความไม่สมดุลของธรรมชาตินี้เองก็จะทำให้สิ่งแวดล้อมอยู่ในสภาพเน่าเสีย มีสารพิษในอากาศ ต้นไม้ตาย อากาศร้อน ฯลฯ มนุษย์จะได้รับผลกระทบที่เกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
3. ความจำกัดในการเติบโตของประชากร ในอนาคต ถ้ามนุษย์ต้องตกอยู่ในสภาวะที่ทรัพยากรธรรมชาติร่อยหรอลงไป และมีความเป็นพิษมากขึ้น จำนวนประชากรก็จะไม่สามารถเพิ่มอีกต่อไป แต่กลับต้องลดลงมา จนกว่าจำนวน จะอยู่ในระดับที่พอดี ที่จะทำให้ธรรมชาติมีความสมดุล (ตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ) ดังแสดงไว้ในตารางต่อไปนี้
กราฟแสดงจำนวนจำกัดของประชากร
 |
ในสภาวะที่สิ่งแวดล้อมเสื่อมทรามลง ถึงขนาดที่จะทำให้จำนวนประชากร ลดลงนั้นจะเป็นภาวะวิกฤติของสิ่งแวดล้อมที่ไม่มีอะไร จะมายับยั้งความตายของมนุษย์ลงได้ และหลังจากนั้นอีกเป็นเวลานาน กว่าที่สิ่งแวดล้อมหรือธรรมชาติจะกลับคืนสู่สภาพปกติได้อีกครั้งหนึ่ง
1.3.2 ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับความหลากหลายทางชีวภาพ การรุกรานเข้าไปในพื้นที่ธรรมชาติเพื่อสร้างเขื่อน พื้นที่การเกษตร ทางหลวง ท่อน้ำมัน ระบบชลประทาน และการใช้ยาฆ่าแมลง มีผลทำให้ระบบนิเวศลดความซับซ้อนลง มนุษย์ทำการโค่นถางป่าไม้และปรับพื้นดิน เดิมพื้นที่นี้เต็มไปด้วย สิ่งมีชีวิตนับพันตระกูล ที่มีปฏิสัมพันธ์ระหว่างคน ทั้งพืช สัตว์ และมนุษย์ก็มาทำการปกปิดพื้นดินเสียใหม่ด้วยการสร้างตึกรามบ้านช่อง ถนนหนทางและพื้นที่การเกษตรครอบลงไป ด้วยการปลูกพืชเพียงอย่างเดียว การเกษตรกรรมสมัยใหม่ มีผลทำให้ระบบนิเวศ ในพื้นที่นั้นย้อนกลับไปสู่จุดเริ่มต้นของความต่อเนื่อง โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ได้ผลผลิตสุทธิเพียง 1 หรือ 2 ชนิด เช่น ข้าว ข้าวโพด ข้าวฟ่าง ในปริมาณสูง
ระบบการปลูกพืชให้โตเร็วปลูกเพียงชนิดเดียว มีผลทำให้ระบบอ่อนแอมาก วัชพืชและโรคพืชหรือแมลงศัตรูพืชเพียงชนิดเดียว สามารถทำลายแปลงปลูกพืชได้หมด แม้ว่าจะมีการพ่นสารเคมี เช่น ยาฆ่าแมลง ยาฆ่าหญ้า ป้องกันไว้แล้วก็ตาม เนื่องจากแมลงทีการผสมพันธุ์และออกไข่อย่างรวดเร็ว แมลงช่วงชั้นอายุใหม่ จึงมีความต้านทานสารเคมีสูง เกษตรกรจึงต้องใช้ยาฆ่าแมลงที่แรงและเข้มข้นมากขึ้น หรือเปลี่ยนไปใช้ยาฆ่าแมลงชนิดอื่นแทน สารเคมีเหล่านี้จะฆ่าชีวิตชนิดอื่นที่อาจจะช่วยจับแมลงด้วย
ดังนั้น การทำระบบนิเวศให้ซับซ้อนน้อยลง ในระยะยาวแล้วจะทำให้จำนวนแมลงเพิ่มขึ้น ไม่ใช่แต่การเพาะปลูกเท่านั้นที่จะทำให้ระบบนิเวศ ลดความซับซ้อนลง ในปศุสัตว์เพื่อเลี้ยงวัว ม้า แกะ แพะ มีผลทำให้สัตว์ธรรมชาติ ไม่มีที่อยู่ ถูกจำกัดหรือ สูญพันธ์ไป ซึ่งมีผลเสียดังที่กล่าวมาแล้ว
สมดุลระหว่างความไม่ซับซ้อนและความหลากหลาย
คงไม่ถือว่าเป็นความผิดในการที่มนุษย์ถางป่า ทำให้ระบบนิเวศลดความสลับซับซ้อนลง เพื่อนำพื้นที่ไปใช้ในการเพาะปลูกพืชอาหารเพื่อเลี้ยงมนุษย์ แต่ว่าการทำระบบนิเวศวิทยาให้ลดความซับซ้อนลงนี้ มนุษย์ต้องจ่ายมากขึ้น เพื่อรักษาระบบให้มีเสถียรภาพ ทั้งเวลา เงิน สสาร และพลังงาน ซึ่งสรุปได้ดังตารางในหน้าถัดไป
อันตรายที่ยิ่งใหญ่ในขณะนี้คือ มีประขากรมนุษย์เพิ่มขึ้นจำนวนมาก ทำให้มนุษย์ต้องทำลายระบบนิเวศเพิ่มขึ้น เพื่อนำพื้นที่มาปลูกพืชอาหาร ข้อควรปฏิบัติก็คือ
มนุษย์ควรรักษาดุลระบบนิเวศเอาไว้ด้วย ตัวอย่างเช่น ถ้ามนุษย์ถางป่าในที่ราบเพื่อเป็นพื้นที่เพาะปลูก ควรรักษาพื้นที่ป่าบนภูเขาเอาไว้ เป็นพื้นที่ต้นน้ำลำธาร เพื่อให้ป่าไม้ค่อย ๆ ปล่อยน้ำลงสู่ที่ราบ และเป็นแหล่งผลิตสารอาหารพืชตามธรรมชาติ ซึ่งจะถูกพัดพาลงสู่ที่ราบในฤดูฝน อย่างไรก็ตามการจะรักษาดุลระบบนิเวศไว้ได้ มนุษย์ยังต้องเรียนรู้กลไกของระบบนิเวศอีกมากเพื่อให้เข้าใจธรรมชาติ ที่แท้จริงของระบบนิเวศ จะได้เป็นข้อมูลในการรักษาดุลระบบนิเวศได้อย่างมีประสิทธ์ภาพต่อไป
ตารางแสดง การเปรียบเทียบคุณสมบัติของระบบนิเวศธรรมชาติกับระบบนิเวศที่ไม่ซับซ้อนที่มนุษย์สร้างขึ้น
ระบบนิเวศธรรมชาติ ระบบนิเวศที่ไม่ซับซ้อน
หนองน้ำ ทุ่งหญ้า ป่าไม้ ไร่ข้าวโพด โรงงานและ บ้าน
1. ดูดซับ เปลี่ยนแปลง และสะสมพลังงาน
จากดวงอาทิตย์ 1. บริโภคพลังงานจากเชื้อเพลิง จากซาก
บรรพชีวิต และนิวเคลียร์
2. ผลิตออกซิเจน บริโภคคาร์บอนไดออกไซด์ 2. บริโภคออกซิเจนและผลิคาร์บอนได-ออกไซด์ จากการเผาไหม้เชื้อเพลิงจาก
ซากบรรพชีวิน
3. ทำให้ดินอุดมสมบูรณ์ 3. ลดความอุดมสมบูรณ์หรือปกปิดดิน
4.สะสม ทำความสะอาดและระบายน้ำอย่างต่อเนื่อง 4.ใช้น้ำและทำให้น้ำสกปรก แล้วปล่อยทิ้งอย่างรวดเร็ว
5. สร้างถิ่นที่อยู่ให้สัตว์ป่า 5. ทำลายถิ่นที่อยู่ของสัตว์ป่าบางชนิด
6. กรองกละกำจัดพิษของมลสารและไม่สร้างของเสียให้เกิดขึ้น 6. ก่อให้เกิดมลสาร ขยะมาก ที่จะทำความสะอาดได้ด้วยความสามารถ
ของมนุษย์ในปัจจุบัน
7. ตามปกติมีความสามารถและดำรงสภาพ และ ซ่อมแซมด้วยตัวมันเองได้ 7. จำเป็นต้องดูแลและรักษาอย่างต่อเนื่องและมีการดูแลด้วยทุนสูง
การลดความหลากหลายในระบบนิเวศด้วยการกำจัดและนำชีวิตตระกูลใหม่เข้ามา
มนุษย์ทำการแบ่งพืชและสัตว์เป็นสองพวกคือ พวกดีมีคุณค่า กับพวกไม่ดีไร้คุณค่า และถือเป็นหน้าที่ที่จะกำจัดชีวิตที่ไม่พึงปรารถนาออกไป การกำจัดชีวิตหนึ่ง ๆ ออกไป ไม่ว่าจะเป็นพืชหรือสัตว์ เป็นสิ่งที่ต้องพึงระวัง ชีวิตนั้นมีความสำคัญมาก เพราะมันอาจจะเป็น 1. โซ่อาหาร หรือโครงข่ายอาหาร
2. วัฏจักรเคมี หรือวัฏจักรของพลังงาน
3. เป็นสิ่งที่มีชีวิตที่เป็นดรรชนีบ่งบอกความสมดุลของระบบนิเวศ เมื่อชีวิตที่เป็นดรรชนี บ่งบอกความสมดุลของระบบนิเวศนั้นถูกกำจัดไป ผลข้างเคียงที่คาดไม่ถึง อาจเกิดขึ้นรุนแรง เกินกว่าที่จะคาดคิดก็อาจเป็นได้
ผลกระทบเชิงนิเวศวิทยาอาจเกิดจากการนำชีวิตตระกูลใหม่ เข้าสู่พื้นที่ก็อาจเป็นได้ ในปี ค.ศ.1948 มีการนำแมว 5 ตัว ไปยังเกาะโดดเดี่ยว คือเกาะแอนตาร์กติค เพื่อควบคุมประชากรหนู ปัจจุบันนี้เกาะนั้นก็ยังมีหนูอย่างอุดมสมบูรณ์พร้อมทั้งมีแมวป่าเพิ่มอีก 2,500 ตัว ซึ่งไล่จับนกบนเกาะกินมากกว่าปีละ 600,000 ตัว
ในมลฑลเสฉวน ประเทศจีน ทำการโฆษณาให้ประชาชนช่วยกันจับงูเป็น ๆ จำนวน 200,000 ตัว เพื่อใช้ทำยาและอาหาร ปรากฏว่าโครงการสำเร็จด้วยดีแต่ผลที่ตามมาคือ มีหนูเพิ่มขึ้นจำนวนมหาศาล หนูเหล่านี้สร้างความสูญเสียให้กับชาวไร่ ข้าวโพดและนาข้าวสุดคณานับ
การทำลายโครงข่ายอาหารจากสารเคมีสังเคราะห์
ครั้งหนึ่งมาเลเรียเป็นโรคที่คร่าชีวิตคนในเกาะบอร์เนียวเหนือมากถึง 9 ใน 10 ของผู้เสียชีวิต ในปี ค.ศ.1955 องค์การอนามัยโลก (WHO) จึงทำการพ่นสารเคมีชื่อ ดีลดริน (Dieldrin) เป็นยาฆ่าแมลงที่มีคุณสมบัติคล้าย DDT เพื่อฆ่ายุงพาหะของไข้ มาเลเรีย โครงการกำจัดไข้มาเลเรียในเกาะบอร์เนียวเหนือ ประสบความสำเร็จอย่างสูงโรคแห่งมรณะภัยสูญหายไปจากเกาะบอร์เนียวเหนือ แต่ว่ามีเหตุการณ์อย่างอื่นเกิดขึ้น ดีลดรินฆ่าแมลงอื่นด้วยนอกจากยุง รวมทั้งแมลงวันและแมลงสาบซึ่งมีถิ่นฐานอยู่ในบ้านเรือน ชาวเกาะต่างก็ชื่นชมยินดีหลังจากนั้นแม้แต้จิ้งจกตัวเล็ก ๆ ซึ่งอาศัยอยู่ในบ้านต่างก็ตายลงด้วย เมื่อจิ้งจกไปกินซากแมลงที่ตายด้วยยาฆ่าแมลง เมื่อแมวไปกินซากจิ้งจก แมวก็ตายลงเช่นกัน เมื่อไม่มีแมว หนูจึงเพิ่มประชากรอย่างรวดเร็วและวิ่งเพ่นพ่านเต็มหมู่บ้านไปหมด ตอนนี้ประชากรจึงต้องมาตายลงด้วยกาฬโรคที่มีหมัดหนูเป็นพาหะ โชคดีที่ภาวะเลวร้ายนี้ องค์การอนามัยโลกเข้าไปควบคุมไว้ได้ โดยการใช้เครื่องบินนำแมวไปทิ้งลงบนเกาะบอร์เนียวด้วยร่มชูชีพ เหนืออื่นใดหลังคาใบจากของบ้านเรือนชาวเกาะบอร์เนียวเริ่มมีรูโหว่ เนื่องจากดีลดริน ฆ่าตัวหมาร่าและมดที่อาศัยอยู่ตามหลังคาบ้านเรือนที่ทำด้วยใบจาก หมาร่าและมดดำรงชีพอยู่โดยการกินมอดที่กินใบจาก มอดไม่ได้รับผลกระทบจากยาฆ่าแมลง เนื่องจากถูกปกปิดด้วยใบจาก เมื่อศัตรูธรรมชาติของมอดสูญพันธ์ มอดจึงมีประชากรเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ตัวอ่อนของมอดจึงเติบโตได้อย่างปลอดภัยด้วยการกินใบจากที่ใช้ทำหลังคาบ้าน แม้ว่าในที่สุดชาวเกาะบอร์เนียวจะปราบไข้มาเลเรียได้ แต่ว่าผลข้างเคียงที่ไม่ได้คาดคิดก็ตามมาอีกมาก แม้ว่าในที่สุดเหตุร้ายทุกอย่างจะถูกควบคุมไว้ได้ แต่ก็เป็นตัวอย่างที่ชี้ให้เห็นถึงผลกระทบที่มีมากเกินกว่าจะคาดคิด ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้หากเราไปขัดขวางระบบนิเวศ
การรักษาเสถียรภาพของความหลากหลายทางชีวภาพ ปัจจุบันเชื่อกันว่า ระบบนิเวศวิทยายิ่งมีความหลากหลายมากขึ้น และสลับซับซ้อน มากขึ้นเพียงใด เสถียรภาพของระบบนิเวศวิทยา ก็ยิ่งมีมากขึ้นเพียงนั้น โดยเชื่อกันว่า ยิ่งเผ่าพันธ์สิ่งมีชีวิต มีความหลากหลายมากขึ้นเพียงใด แสดงว่าโครงข่ายอาหารยิ่งมีความสลับซับซ้อนมากขึ้น เสถียรภาพของระบบนิเวศยิ่งมีมากขึ้น ความหลากหลายของเผ่าพันธุ์ชีวิตก็มีมากตามไปด้วย และทำให้บทบาทหน้าที่เชิงนิเวศวิทยาของแต่ละชีวิต ยิ่งมีมากขึ้น ความสลับซับซ้อนของโครงข่ายอาหารช่วยให้ระบบนิเวศวิทยามีเสถียรภาพมากขึ้น เนื่องจากสัตว์มีแหล่งอาหารมากขึ้น เช่น ชีวิตเผ่าพันธ์หนึ่งสูญไปสัตว์ล่าเหยื่อ ก็ยังมีแหล่งอาหารอื่น ๆ สำรองอยู่อีกเป็นต้น
แต่ความหลากหลายและความสลับซับซ้อน ช่วยให้ระบบนิเวศมีเสถียรภาพมากขึ้นจริงหรือ ถ้าความคิดนี้เป็นจริง ระบบนิเวศที่ไม่สลับซับซ้อน เช่น ระบบนิเวศวิทยาเขตทุนดรา และทุ่งเกษตรกรรมที่ปลูกพืชเพียงชนิดเดียว (monoculture) ก็ต้องมีเสถียรภาพน้อยกว่าเสถียรภาพของระบบนิเวศที่มีความหลากหลาย และสลับซับซ้อนมากกว่าเช่น ป่าดงดิบเขตร้อน ป่าดงดิบเป็นระบบนิเวศที่มีสภาวะ เสถียรภาพสูงมาก ถ้าป่านั้นไม่ถูกก่นถางเสียก่อน และสิ่งที่มีชีวิตทั้งพืชและสัตว์ในป่าดงดิบนั้นมีความหลากหลายในเผ่าพันธุ์ และขนาดของประชากรของสิ่งมีชีวิต มากกว่าในเขตทุนดรา พืชอาหารที่ทำการปลูกเพียงชนิดเดียวมีแนวโน้มจะถูกทำลายด้วยโรคพืช หรือศัตรูพืชเพียงชนิดเดียวได้สูงมาก และเกษตรกรต้องให้การดูแลอย่างดี
นักนิเวศวิทยาให้ความเห็นว่าสภาพนิเวศวิทยาของป่าเขตร้อน นั้นเป็นผลมาจากภูมิอากาศคงที่ตลอดปี และเป็นเช่นนี้มานับ หนึ่งพันปี และกล่าวเพิ่มเติมว่า ป่า ดงดิบนั้นจะไร้เสถียรภาพมาก เมื่อมีการตัดไม้ซุงออกไป หรือเพียงก่นถางเป็นพื้นที่ไม่มากนัก ป่าจะกลับคืนสภาพเดิมได้ช้ามาก เช่นเดียวกับความไร้เสถียรภาพในเขตทุนดรา ที่สังเกตได้จากความไม่สม่ำเสมอของความหลากหลายในจำนวน และขนาดประชากรของสิ่งมีชีวิต ทั้งนี้เนื่องจากความไม่แน่นอนของภูมิอากาศในเขตทุนดรา นั่นเอง แม้กระนั้นก็ตามป่าทุนดรา จะมีแรงเค้นเข้าครอบงำได้น้อยกว่า แต่เมื่อถูกทำลายไปแล้ว การจะกลับคืนสภาพเดิมก็ช้ากว่าป่าดงดิบมาก
มีปัญหาบางประการที่ทำให้มีการโต้แย้งว่า เสถียรภาพของระบบนิเวศวิทยามาจากความหลากหลายและสลับซับซ้อนของระบบจริงหรือ ? ประการแรก จากการทดลองทางวิทยาศาสตร์มีแนวโน้มสนับสนุนว่า ความเชื่อดังกล่าวจะเป็นจริงในระบบนิเวศในน้ำ และระบบในโลกแห่งความเป็นจริง ประการที่สอง คำว่าความหลากหลายกับความสลับซับซ้อนมีหลายความหมาย อาจหมายถึงความหลากหลายของชาติพันธุ์ ความหลากหลายของโครงข่ายอาหาร ความหลากหลายของสารพันธุกรรม ความหลากหลายของบทบาทหน้าที่ในระบบนิเวศ ความหลากหลายเชิงชีววิทยา
ความหลากหลายทำให้เกิดเสถียรภาพ ในระบบนิเวศนั้น เป็นจริงในบางกรณี การนำไปประยุกต์ ใช้กับทุกสถานการณ์ จึงเป็นเรื่องที่ควรคำนึง
|