Ran khaa ya
 
 

 

กาแล็กซีกำเนิดเมื่อกว่าหนึ่งหมื่นล้านปีมาแล้ว ทฤษฎีบิ๊กแบงกล่าวว่าเมื่อประมาณ 13,700 ล้านปีก่อน เกิดระเบิดครั้งใหญ่ เศษเสี้ยวของวินาทีที่อุณหภูมิและความหนาแน่นสูงมาก หลังจากนั้นเกิดการพองตัวเรียกว่าอินเฟลชั่น(Inflation)

ซึ่งกระจายความหนาแน่นพอๆกันในทุกทิศทาง จักรวาลเต็มไปด้วยรังสีหนาแน่นแต่ยังไม่มีอะตอมช่วงนั้นเรียกว่ายุครังสี (Radiation) ต่อมาจักรวาลก็เข้าสู่ความมืดมิดเรียกว่ายุคมืด(Dark Ages) อีกหลายร้อยล้านปียุคมืดก็สิ้นสุดลง
และเข้าสู่ยุคกำเนิดดาวฤกษ์และกาแล็กซีเรียกว่ายุค Cosmic renaissance เมื่อองค์การนาซ่าส่งกล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิลขึ้นไปในอวกาศ นักดาราศาสตร์สามารถสำรวจอวกาศได้ลึกมากถึง 1,000 ล้านปีหลังบิ๊กแบง ทำให้เรารู้ว่า
ปัจจุบันจักรวาลมีกาแล็กซีจำนวนหลายๆพันล้านกาแล็กซีและมีรูปทรงและขนาดที่แตกต่างกัน กาแล็กซีจะมีขนาดอยู่ในระหว่างหนึ่งแสนถึงสามพันล้านเท่าของมวลดวงอาทิตย์ และในแต่ละกาแล็กซีมีดาวฤกษ์อยู่เป็นจำนวนมหาศาล
กาแล็กซีใหญ่ที่สุดมีดาวฤกษ์อยู่ถึง 3 ล้านล้านดวง กาแล็กซีเล็กที่สุดมีดาวฤกษ์อยู่ประมาณ 100,000 ดวง แม้ว่าปัจจุบันจักรวาลกำลังขยายตัวในอัตราเร่ง กาแล็กซีแทบทั้งหมดกำลังเคลื่อนที่หนีห่างจากกัน กาแล็กซีที่อยู่ยิ่งไกล
ก็ยิ่งเคลื่อนที่หนีห่างออกไปเร็วขึ้น กระนั้นก็ตามกาแล็กซีที่อยู่ใกล้กันก็ยังคงเคลื่อนที่เข้าหากันด้วยอำนาจแรงโน้มถ่วง และจะชนกันหรือรวมตัวกันเป็นกาแล็กซีใหม่ในที่สุด ปรากฏการณ์นี้ยังคงเกิดขึ้นเป็นปกติธรรมดาของจักรวาล
และมันเป็นสิ่งเย้ายวนใจนักดาราศาสตร์มานานแล้วว่าจะเกิดอะไรต่อไป ในปี 1997 กล้องโทรทรรศน์ภาคพื้นดินจับภาพการชนกันของกาแล็กซีรูปเกลียว NGC 4038 และ NGC 4039 ในกลุ่มดาวนกกา [Corvus ] ไกลจากโลก 68 ล้านปีแสง
ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อ 800 ล้านปีมาแล้ว ผลของการชนกันทำให้รูปทรงของมันดูคล้ายแมลงที่มีหนวดโค้ง นักดาราศาสตร์จึงตั้งชื่อมันว่าแอนเทนนี [Antennae]นักดาราศาสตร์ศึกษามันต่อไปโดยใช้กล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิลส่องดูว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง
สิ่งที่พบก็คือมีกลุ่มดาวเกิดใหม่ที่ส่องแสงสว่างไสวนับพันกลุ่ม การรวมตัวของสองกาแล็กซีได้ให้กำเนิดดวงดาวใหม่ ภาพจากกล้องอวกาศฮับเบิลแสดงให้เห็นว่า บริเวณรอบๆใจกลางหรือนิวคลีไอของสองกาแล็กซีมีลักษณะทึบและสีค่อนข้างแดง
บริเวณสีน้ำเงินคือกระจุกดาวเกิดใหม่จำนวนมาก นักดาราศาสตร์อธิบายว่า เมื่อกาแล็กซีรวมตัวกัน ดวงดาวจะไม่ชนกันเพราะพื้นที่ของกาแล็กซีมีที่ว่างเป็นอวกาศมาก แต่ก๊าซจะถูกกระแทกและอัดตัว เกิดการระเบิดที่เรียกว่า Starburst
 
การระเบิดนี้ไม่ใช่เป็นการระเบิดที่ทำให้ดวงดาวแตกสลาย ทว่าเป็นการระเบิดที่ให้กำเนิดดวงดาว และในที่สุดกาแล็กซีแอนเทนนีจะมีรูปทรงกลม ปลายปี 2003 ทีมนักดาราศาสตร์นำโดย ดร. ซง หวั่งจากศูนย์ฟิสิกส์ดาราศาสตร์ สถาบันสมิธโซเนียน
ทำการศึกษากาแล็กซีแอนเทนนีอีกครั้งหนึ่ง โดยใช้กล้องอวกาศสปิตเซอร์ ซึ่งเป็นกล้องอินฟราเรด ที่สามารถมองทะลุผ่านฝุ่นที่บดบังได้ ผลงานการศึกษานี้ถูกตีพิมพ์ใน Astrophysical Journal Supplement เมื่อเดือนกันยายน 2004
ในวาระครบรอบหนึ่งปีของกล้องอวกาศสปิตเซอร์ ก่อนหน้านี้กล้องโทรทรรศน์ชนิดแสงซึ่งถ่ายภาพในช่วงคลื่นแสงสว่าง (Visible Light) แสดงให้เห็นกลุ่มดาวเกิดใหม่บริเวณวงแขนของกาแล็กซีแอนเทนนี ทว่าไม่สามารถมองเห็นดาวเกิดใหม่
บริเวณใจกลางของสองกาแล็กซีที่ทับซ้อนกันได้ เพราะถูกบดบังโดยเมฆฝุ่น และเพื่อให้เห็นรายละเอียดของกาแล็กซีแอนเทนนีมากยิ่งขึ้น นักดาราศาสตร์จึงได้ผสมผสานภาพจากกล้องอวกาศสปิตเซอร์กับภาพจากกล้องโทรทรรศน์ชนิดแสง
ของหอดูดาวคิตตี่ พีค ที่ทูคซอน อริโซนาเข้าด้วยกัน ภาพดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าบริเวณสีเขียวและน้ำเงิน ซึ่งถ่ายโดยกล้องโทรทรรศน์แสงเป็นกลุ่มดาวเก่าแก่ ส่วนบริเวณสีแดงซึ่งถ่ายโดยกล้องอวกาศสปิตเซอร์ เป็นกลุ่มดาวเกิดใหม่ซึ่งมีจำนวน
และพื้นที่มากกว่าที่กล้องอวกาศฮับเบิลเคยถ่ายไว้ หวั่ง บอกว่าทีมงานของเขาได้คาดหมายไว้ว่ามีดาวเกิดใหม่ที่แอนเทนนีแต่ก็ยังไม่รู้ว่ามันจะมีจำนวนมากน้อยแค่ไหน จนถึงขณะนี้ก็ได้เห็นแล้วว่า มีดาวเกิดใหม่จำนวนมหาศาลในบริเวณที่สองกาแล็กซีทับซ้อนกัน
 
 
 
 

เว็บไซต์นี้ แสดงผลได้ดี บนความละเอียด 800x600 Text Size Medium
นายกรวิทย์ มาสง่า และ นายเอกพันธ์ เพิ่มกสิกรรม โรงเรียนนวมินทราชูทิศ มัชฌิม
อำเภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์ 60000
SITEMAP นโยบายความเป็นส่วนตัว
นโยบายการคืนสินค้า
กฎของร้าน