Ran khaa ya
 
 
 
 
 
การนำความรู้เรื่องทฤษฎีสีไปใช้
     หลังจากที่นักเรียนได้ศึกษาเกี่ยวกับทฤษฎีสีมาแล้วในส่วนของเนื้อหาต่างๆ ในส่วนนี้ขอนำเสนอเกี่ยวกับการนำความรู้ที่ได้จากการศึกษาไปใช้โดยสรุปและการนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน
1. การใช้สีในสถานที่มืดและสว่าง
     การจะเลือกใช้สีสำหรับตกแต่งภายในบ้าน หรือสถานที่ต่างๆนั้น ประการแรกต้องคำนึงถึงก่อนว่าห้องนั้นได้รับอิทธิพลของแสงสว่างจากภายนอกเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยหรือเปล่า เพราะว่าถ้าห้องนั้นๆมีแสงสว่างส่องถึงมากๆก็ควรใช้สีที่ลดความสดใสลงหรือสีกลางๆ(neutralized tints) เพื่อจะได้ดูสบายตา นุ่มละมุน หากเราใช้สีที่สว่าง จะดูไม่เหมาะสม ขณะเดียวกันหากห้องนั้น ได้รับแสงจากภายนอกน้อยเราต้องใช้สีที่สดใส กระจ่ายช่วยในการตกแต่งเพราะห้องจะได้ไม่ดู ทึม มืดทึบ ทำให้รู้สึกหดหู่ หลักการนี้ได้เกิดขึ้นมานานแล้วยกตัวอย่างเช่นภาพเขียนบนผนังของชาวอียิปต์ ซึ่งก็ทราบกันดีอยู่แล้วว่าผนังภายในสิ่งก่อสร้าง ของชาวอียิปต์นั้นแสงสว่างผ่านเข้าไปได้ น้อยมากดังนั้นชาวอียิปต์นิยมใช้สีที่สดใส สว่างในการสร้างสรรค์ภาพ การเขียนภาพด้วยสีทีสดใสในที่สว่างน้อยนั้น จะทำให้ภาพเขียนสว่างพอดีตามต้องการเพราะความมืดของบรรยาการรอบๆอันเป็นสีกลางเข้ามามีบทบาททำให้สีที่สดใสลดความสดใสลงไปเอง แต่ถ้าต้องการวางโครงสีให้สว่างมาก ควรวางโครงสีให้มีความผสานกลมกลืนในจุดพอดี เพราะแสงสว่าไม่ทำให้ดุลย์ภาพของสีเสียไปแต่อย่างใด

2. การใช้โครงสีสำหรับกลางแจ้ง

     การนำหลักการด้านโครงสร้างสีไปใช้ในสถานที่กลางแจ้ง นั้นมีหลักการที่ตรงกันข้ามกับประเภทแรก งานสถาปัตยกรรมแถบประเทศทางตะวันออกเช่นสถาปัตยกรรมไทยมักมุงหลังคาบ้านด้วยสีสดใสเช่น แดง เขียว เหลือง น้ำเงิน ท่ามกลางสภาพอากาศที่แดดจัดจ้าน ร้อนแรง ซึ่งก็ดูสดใสงดงาม เข้ากับสภาพแวดล้อม แต่หากเป็นบ้านเรือนในแถบยุโรป ซึ่งบรรยากาศของเขา ทึมๆ ไม่กระจ่างอย่างแถบบ้านเรา หากใช้สีที่สดใสจะดูไม่น่ามอง บาดตา โดดออกมาจากสภาพแวดล้อม ดังนั้นควรเลือกใช้สีที่ลดความสดใส ลงจะทำให้น่าดูและกลมกลืนกับสภาพแวดล้อม

3. สีที่ได้รับอิทธิพลของแสงไฟเข้ามาผสม

     แสงไฟนับว่ามีอิทธิพลต่อโครงสร้างของสีพอสมควร อาจทำให้เกิดความผันแปรได้ในรูปแบบต่างอช่น อาจทำให้สีเข้มขึ้น ส่วางขึ้น มืดลง สลัว หรือจมหายไป เพื่อเป็นการป้องกันปัญหาดังกล่าว ก่อนการที่จะวางโครงสีใดๆควรคำนึงถึงเรื่องของแสงไฟเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยเสมอ อาจทำโดยกำหนดโครงสร้างของสีแล้วนำมาทดสอบกับแสงไฟจริงดู สังเกตผลที่เกิดขึ้น ซึ่งเป็นวิธีที่ดีที่สุด ดีกว่าเรามาเดาหรือคิดเอง ดังนั้นการกำหนดโครงสร้างสีควรทำควบคู่ไปกับการติดตั้งระบบไฟ เพื่อจะทำให้ทั้งสองส่วนนั้นได่สัมพันธ์กัน ถ้าแสงไฟที่ใช้เป็นแบบธรรมดา การจัดสีให้ดูกลมกลืนมีหลักเกณฑ์ดังนี้
      สีแดงจะดูสดใสกระจ่าง ส่วนสีแดงเข้มจะออกไปทางสีแสด สีม่วงแดงจะออกไปทางสีแดง สีม่วงครามอาจกลายเป็นม่วง สีครามจะออกไปทางสีเทา สีน้ำเงินจะดูปรากฏเด่นชัดขึ้น ส่วนสีเหลืองจะออกไปทางส้ม และแสงส่วงจัดขึ้นสีเหลืองอาจจมหายไป ดังนั้นผู้สร้างสรรค์ควรต้องศึกษาทำความเข้าใจในจุดนี้ เพื่อประโยชน์เวลานำไปใช้เช่นในการจัดฉากเวทีละคร การแสดง รวมทั้งเครื่องแต่งกายของตัวแสดง เพราะหากไม่ศึกษาอาจทำให้เกิดผลเสียตามมาได้เช่นเกิดจุดเด่นในที่ที่ไม่ต้องการ

สีกับการตกแต่งภายในและภายนอกสถานที่

      การตกแต่งสถานที่ต่างๆให้สวยงาม ถูกใจ สบายใจและรู้สึกอบอุ่น ปลอดภัยเมื่ออยู่ในที่นั้นๆ ความรู้สึกเหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไร ส่วนหนึ่งเกิดขึ้นจากการเลือกใช้สีที่แสดงออกมาทางจิตวิทยา ที่เกิดผลกับจิตใจมนุษย์อย่างที่เราไม่รู้ตัว นั่นแสดงว่าสีมีอิทธิพลต่อจิตใจเรา ตัวอย่างเช่น สีแดงและสีเหลืองให้ความรู้สึกตื่นเต้น สีน้ำเงินและสีเขียว ให้ความรู้สึกสงบ จิตใจถูกน้อมลงสู่สันติสุข ซึ่งเป็นหลักจิตวิทยาที่เห็นอย่างง่ายๆ ดังนั้นการวางโครงสร้างของสีในการใช้ในชีวิตประจำวันก็ควรจัดสรรให้ถูกต้องกับเรื่องราวหรือประโยชน์ใช้สอย สีแต่ละสีย่อมแสดงอารมณ์ที่ต่างกันซึ่งพอจะยกตัวอย่างได้ดังนี้

 
- สีทองเงิน และสีที่มันวาว แสดงถึงความรู้สึกมั่นคง
- สีขาว แสดงถึง ความบริสุทธิ์ เบิกบาน สะอาด
- สีดำอยู่กับสีขาว
แสดงถึงความรู้สึกทางอารมณ์ที่ถูกกดดัน
- สีเทาปานกลาง แสดงถึงความนิ่งเฉย สงบ
- สีเขียวแก่ผสมกับสีเทา แสดงถึงความสลด รันทดใจ ชรา
- สีเขียวและน้ำเงิน แสดงความรู้สึกสงบเงียบ
- สีสดและสีบางๆทุกชนิด
แสดงความรู้สึกกระชุ่มกระชวย แจ่มใส
- สีดอกกุหลาบ แสดงถึงความอ่อนหวาน นุ่มนวล
- สีแดง แสดงถึงความตื่นเต้น เร้าใจ
- สีแดงเข้ม แสดงถึงความสง่าผ่าเผย ปีติ อิ่มเอิบ
- สีเหลือง แสดงถึงความไพบูลย์
 

     แต่ทั้งนี้ผู้คนบางคนบางกลุ่มอาจมีความรู้สึกกับสีที่ต่างอารมณ์ ต่างความรู้สึกซึ่งกันและกันได้ อาจเป็นเพราะเหตุผลส่วนตัว หรือขนบธรรมเนียม จารีตของแต่ละกลุ่มชน สีนอกจากจะให้ความรู้สึกทางอารมณ์ที่ต่างกันแล้วยังแสดงถึงระยะที่ต่างกันของวัตถุที่ต่างกันด้วย

 

สีกับการตกแต่งภายนอกอาคารมีหลักการดังนี้

1.การใช้สีต้องสอดคล้องกับจุดมุ่งหมายของอาคารนั้นๆ
2.ต้องผสานสัมพันธ์กับสีของอาคารใกล้เคียงเท่าที่จะทำได้
3.อาคารขนาดใหญ่ไม่ควรใช้สีรุนแรง ควรใช้สีเลียนแบบธรรมชาติเช่นสีอิฐ หินอ่อน ยกเว้นสีเทาของปูนจะดูไม่ดี ส่วนสีหวานๆไม่เหมาะกับอาคารหากแต่เหมาะกับพวกเสื้อผ้า ซึ่งอาคารไม่ต้องการจุดมุ่หมายของอาคารใหญ่ต้องการแสดงความตระการตาโอ่อ่า
4.อาคารเล็กควรใช้สีที่สดใสขึ้นกว่าอาคารใหญ่แต่ต้องสอดคล้องสัมพันธ์กับอาคารแวดล้อมด้วย
5.อาคารที่อยู่ในที่ที่แวดล้อมด้วยธรรมชาติ สามารถใช้สีสดใสอย่างไรก็ได้
6.ไม่ควรใช้สีฟ้าอ่อนหรือเขียวอ่อนกับอาคารที่มีขนาดใหญ่ปานกลางเพราะจะทำให้ดูโครงสร้างของอาคารอ่อนแอ
7.การจัดสวนซึ่งต้องนำต้นไม้หลายชนิดมาจัดวางเช่นสีเขียว เขียวอ่อน เหลือง แต่โดยรวมแล้วก็เป็นสีเขียวซึ่งอาจดูไม่ดี เราสามารถนำเอาดอกไม้มาจัดสลับกันไปแต่ต้องจัดวางอย่างมีองค์ประกอบไม่ใช่วางเปะปะ
8.การจัดตู้โชวตามห้างร้าน ไม่จำกัดว่าใช้สีใดเพราะเป็นมุมเล็กๆส่วนหนึ่งของอาคาร การใช้สี ไม่ทำให้อาคารเสียดุลยภาพ แต่ก็ไม ่ควรเลือกสีที่จัดไปนักเพราะถึงแม้จะดึงดูดความสนใจได้แต่ขณะเดียวกันก็ทำให้เบื่อง่ายเช่นกัน

 
สีกับการตกแต่งภายใน

     การใช้สีเพื่อตกแต่งภายในต้องคำนึงถึงจุดมุ่หมายของห้องนั้นๆเช่นกัน เพราะห้องต่างๆมีจุดมุ่งหมายต่างกันการใช้สีอย่างถูกต้องตามหลักจิตวิทยา จะมีอิทธิพลต่อจิตใจผู้คนได้ แต่ทั้งนี้หากเป็นบ้านส่วนบุคคลอาจไม่ต้องคำนึงถึงหรือจัดโครงสีตามใจเจ้าของบ้านได้ ตัวอย่างของการจัดโครงสีของแต่ละห้องพอสรุปได้ดังนี้

- ห้องพักหรือห้องนอน ควรใช้สีที่เหมาะสมกับเพศและวัยของผู้อยู่ ส่วนใหญ่มีหลักว่าควรเป็นสีเรียบๆ ไม่หนักหรือทึมเกินไป ทางที่ดีควรเป็นสีเดียว คือโครงสีเอกรงค์
- ห้องนั่งเล่นพักผ่อน เป็นห้องที่ใช้บ่อยดังนั้ควรเลือก ใช้สีพื้นๆเพราะหากใช้สีสดใสอาจทำให้เบื่อง่าย เมื่อเราใช้สีพื้นๆและตกแต่งด้วยภาพแขวน หรือดอกไม้ ห้องก็จะน่ามอง น่าอยู่
- ห้องรับแขก เป็นห้องที่ใช้พบปะหรือต้อนรับ สังสรรค์ ควรใช้สีที่อบอุ่นเช่นอาจใช้สีส้มอ่อน(โดยผสมให้เป็นกลางสักเล็กน้อย)ทาผนัง พื้นห้องควรเป็นพรมสีม่วงครามเป็นกลางๆ ใช้สีส้มแก่หรือเข้มตามฟอร์นิเจอร์และวัตถุต่างๆขนาดเล็ก ควรทาด้วยสีแสด โครงสร้างนี้จะทำให้รู้สึกเบิกบานใจ แต่อย่างไรก็ตามสามารถพลิกแพลงจัดได้อีกมากมาย
- ห้องเด็ก ควรใช้สีที่อบอุ่น เพราะช่วยให้เด็กเบิกบาน และให้เป็นที่พอใจของเด็กด้วย การใช้สีตัดกันโดยให้มีปริมาณมากน้อยก็นับว่าใช้ได้ดี
- ห้องน้ำ สีควรเป็นจำพวกวรรณะเย็น เพื่อจูงใจให้ผู้ใช้รู้สึกสดชื่นไม่ควรใช้สีกลางหรือสีหนักเพราะจะดูอึดอัด
 
     นั่นเป็นส่วนหนึ่งของการเลือกใช้สีเท่านั้นผู้เรียนอาจศึกษาเพื่อเป็นพื้นฐานและแนวทางในการศึกษาขั้นที่สูงกว่าในโอกาสต่อไปอย่างไรก็ตามหากได้รับการฝึกฝนพอสมควรก็จะสามารถสร้างสรรค์งานศิลปะอย่างมีหลักการ โดยนำความรู้ด้านทฤษฎีสีไปใช้ได้อย่างเหมาะสมพัฒนาความรู้ความสามารถได้อย่างไม่จบสิ้น
 
 
 

ไซต์นี้ แสดงผลได้ดี บนความละเอียด 800x600 Text Size Medium
เรียนนวมินทราชูทิศ มัชฌิม อ.เมือง จ.นครสวรรค์ 60000 โทร. 0-5622-7771, 0-5622-6967
เผยแพร่โดยทีมงานกลุ่มวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงาน อาคารเรียนชั้น 2 ห้อง Internet Server Farm
 
 
SITEMAP นโยบายความเป็นส่วนตัว
นโยบายการคืนสินค้า
กฎของร้าน