|
|
ในสมัยที่พม่าจัดทัพมาตีกรุงศรีอยุธยาแตกเมื่อปีพ.ศ.๒๓๑๐ ตอนนั้นมีผู้คนล้มตายกันเป็นจำนวนมากที่หนีตายออกจากเมืองกันไปก็มาก มีพวกหนึ่งหนีมุ่งหน้ามาทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือมาถึงบริเวณหมู่บ้านตะคร้อแห่งนี้ ซึ่งในสมัยนั้นยังเป็นป่าดงดิบยากที่ข้าศึกจะติดตามได้ ที่หนีมาด้วยกันทีแรกมีหลายคณะแต่ได้แยกกันไปคนละทิศคนละทาง พวกที่มาถึงที่บริเวณหมู่บ้านตะคร้อในปัจจุบันนี้ มีคณะของขุนศรี ขุนแว่นแก้ว นางคำมีและพี่น้องรวม ๖ ครอบครัว พร้อมทั้งช้างม้าและบริวารคนพวกนี้เป็นควาญช้างที่มีความสามารถในการควบคุมช้างและจับช้าง มีพิธีการตั้งศาลบูชาช้างงาเดียวคล้ายกับพิธีของพวกควาญช้างที่เป็นมอญ ต่อมาได้มีการสร้างวัดขึ้นชื่อว่า วัดชุมพล เนื่องจากที่บริเวณวัดแห่งนี้เมื่อก่อนเคยใช้เป็นที่ประชุมรวมพลเพื่อรับมือข้าศึก แต่ก็ไม่เคยมีข้าศึกมาสักครั้งเดียว ต่อมาขุนศรีได้เสียชีวิตลง ขุนแว่นแก้วจึงได้สร้างเจดีย์สำหรับเก็บอัฐิของขุนศรีขึ้นมาหนึ่งองค์(บริเวณข้างโบสถ์หลังเก่า) ต่อมาขุนแว่นแก้วได้บวชเป็นพระภิกษุชื่อว่าหลวงตาแก้ว และเมื่อขุนแว่นแก้วหรือหลวงตาแก้วมรณภาพลงก็มีผู้สร้างเจดีขึ้นอีกองค์หนึ่ง(อยู่ในสระน้ำของวัดในปัจจุบัน) ดังปรากฏว่ามีเจดีย์เก่าอยู่สององค์ในบริเวณวัดชุมพลหรือวัดใหญ่ในหมู่บ้านมาจนถึงทุกวันนี้ (นายต่าย นาคตระกูล : ๒๕๔๘)
|
ในอดีตเมื่อประมาณสามสิบกว่าปีที่แล้ว เท่าที่ผู้เขียนจำความได้ หมู่บ้านตะคร้อยังไม่มีไฟฟ้าใช้ ชาวบ้านส่วนใหญ่ประกอบอาชีพ ทำไร่ ทำนา ถนนหนทางก็เป็นทางดินธรรมชาติและถนนลูกรัง ไม่ใช่ถนนคอนกรีตหรือถนนลาดยางมะตอย เหมือนอย่างทุกวันนี้ การเดินทางไปยังหมู่บ้านใกล้เคียงหรือในตัวอำเภอก็ค่อนข้างจะยากลำบาก ใช้เวลามาก รอบๆหมู่บ้านยังเป็นป่ารก น้ำในลำห้วย หนอง บึง ยังใสไม่มีสารเคมีเจือปนใช้ดื่มกินได้ ในหมู่บ้านมีโรงเรียนประถมของรัฐบาล ๑ แห่ง มีโรงเรียนประถมของเอกชน ๑ แห่ง มีวัด ๒ วัด มีสถานีอนามัย ๑ แห่ง แต่ในตอนนั้นเด็กๆแรกเกิดในหมู่บ้านส่วนใหญ่ถูกทำคลอดโดยฝีมือของหมอตำแยพื้นบ้าน มากกว่าจะคลอดที่สถานีอนามัย มีสถานีตำรวจ ๑ แห่ง แต่ไม่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจประจำการอยู่เลย ผู้ใหญ่หรือวัยรุ่นในสมัยนั้นมีอาวุธปืนใช้กันเกือบทุกครัวเรือน เพียงแค่รำวงเหยียบเท้ากันก็ยิงกันตาย ไล่ยิงกันกลางวันแสกๆ มีงานบุญงานบวช หรือมีภาพยนตร์มาฉายในหมู่บ้าน เป็นต้องมีการยิงกันตายเกือบทุกงาน เจ้าหน้าที่ตำรวจจะเข้ามาในหมู่บ้านต้องบอกกล่าวคนใหญ่คนโตก่อน หรือใครต่างถิ่นมาแปลกๆหน้าต้องระมัดระวังตัว เนื่องจากมีผู้ตั้งตัวเป็นเสือเป็นนักเลงจำนวนมาก เรียกได้ว่าเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อน
ต่างจากปัจจุบันนี้ที่การเดินทางสะดวกสบาย รอบๆหมู่บ้านไม่มีป่าให้เห็นแล้วมีแต่ที่ไร่ที่นาเตียนโล่ง น้ำในลำห้วย หนอง บึง ขุ่นและเต็มไปด้วยสารเคมีที่ใช้ในไร่นาจนใช้ดื่มกินไม่ได้แล้ว มีโรงเรียนมัธยมเพิ่มขึ้นมา ๑ แห่ง มีสถานีอนามัยใหม่ มีน้ำปะปาทันสมัย มีโทรศัพท์บ้าน โทรศัพท์สาธารณะ สถานีตำรวจมีเจ้าหน้าที่ตำรวจประจำการหลายสิบนาย เสือในอดีตเสียชีวิตไปก็มาก ที่ยังอยู่ก็อายุมากแล้ว คดีอาชญากรรมลดลงไปมาก แต่ร่องรอยอาชญากรรมในอดีต ยังคงตอกย้ำและยังคงได้รับการสืบทอด จากผู้ที่เคยถูกฆ่าตายในอดีต สู่รอยแผลเป็นที่มีมาตั้งแต่แรกเกิดของผู้ที่จำอดีตชาติได้ในปัจจุบัน
(นายต่าย นาคตระกูล : ๒๕๔๘)ผู้ให้ข้อมูล
|