ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ |
ราก : เป็นระบบรากแก้ว มีจำนวนรากแขนงไม่มาก และที่บริเวณปลายรากมีขนรากน้อย
ลำต้น : ลำต้นตรง เปลือกภายนอกมีสีน้ำตาลเข้มจนถึงดำ ภาคในเปลือกประกอบไปด้วยท่อน้ำยางมีลักษณะสีเหลือง
ใบ : ใบมีรูปยาวร่ มีความยาวประมาณ 9-25 ซม. กว้างประมาณ 4.5-10 ซม. ด้านบนมีลักษณะเป็นมันสีเขียวเข้ม ส่วนด้านล่างสีเขียวปนเหลือง แผ่นใบโค้งเล็กน้อย มีตาข้างอยู่บริเวณซอกใบ และมีตายอดอยู่บริเวณซอกใบคู่สุดท้าย
ดอก : เป็นแบบเดี่ยวและบางสภาพอาจเป็นดอกกลุ่ม ซึ่งดอกจะปรากฎที่บริเวณปลายยอดของกิ่งแขนง ที่มีช่อดอกตัวผู้และดอกตัวเมียอยู่ในดอกเดียวกันดอกจัดเป็นดอกสมบูรณ์เพศ แต่เกสรตัวผู้จะเป็นหมัน ดอกมังคุดประกอบด้วยกลีบเลี้ยง 4 กลีบ มีกลีบดอกค่อนข้างหนา 4 กลีบดอก เกสรอยู่ที่ฐานรอบๆ ของรังไข่
ผล : เป็นแบบเบอรี่ มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 3.4-7.5 ซม. มีเปลือกหนา 6-10 ซม. เนื้อสีขาวขุ่นลักษณะของผลอ่อนเปลือกนอกจะมีสีเขียวปนเหลือง มียางสีเหลืองอยู่ภายใน ผลหนึ่งๆ จะมีเมล็ดอยู่ประมาณ 1-6 เมล็ด เมล็ดมีความยาวประมาณ 2.5 ซม. และกว้างประมาณ 1.6 ซม.
|
พันธุ์ พันธุ์พื้นเมือง
|
การเลือกต้นพันธุ์ :เลือกต้นพันธุ์ที่ได้จากการเพาะเมล็ด มีความสมบูรณ์แข็งแรง อายุไม่น้อยกว่า 2 ปี หรือมีความสูง 30 ซม. มีระบบรากสมบูรณ์ ไม่คดงอ
ระยะปลูก :ระยะปลูกระหว่างแถวและต้น 8x8 ม. หรือ10x10 ม.
วิธีปลูก : ขุดหลุมปลูกขนาด 50x50x50 ซม. ระยะห่างระหว่างต้น 10-12 ม. ระยะห่างระหว่างแถว 10-12 ม. นำปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยอินทรีย์อื่นๆ ผสมกับดินที่ขุดไว้บนปากหลุม ในอัตราดิน 3 ส่วน/ปุ๋ยคอก 1 ส่วน อาจผสมปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 ประมาณ 2-3 กำมือ และปุ๋ยร็อคฟอสเฟต 1 กำมือ นำต้นมังคุดวางกลางหลุม กลบดินให้แน่นปักไม้ยึดลำต้น คลุมโคน รดน้ำให้ชุ่ม หลังหลูกควรทำร่มเงาโดยการใช้ทางมะพร้าว หรือใช้วัสดุอื่นๆ ตามความเหมาะสม |
การขยายพันธุ์
|
การเพาะเมล็ด / การเสียบยอด / การทาบกิ่ง |
การตัดแต่งและควบคุมทรงพุ่ม
|
ในช่วง 3 ปีแรกหลังจากปลูกไม่ควรตัดแต่ง แต่เมื่อต้นมีขนาดใหญ่และให้ผลแล้วควรมีการตัดแต่งหลังการเก็บเกี่ยวผลประจำ ปี เพื่อตัดแต่งกิ่งแห้ง กิ่งที่เป็นโรค กิ่งแขนงที่ฉีกหักขณะเก็บเกี่ยว เพื่อไม่ให้เป็นแหล่งสะสมของโรคและแมลง และยังช่วยให้แสงผ่านเข้าไปได้ทั่วทรงพุ่มเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการ สังเคราะห์แสงของพืช |
การให้ปุ๋ย |
ปุ๋ยคอก อัตราเป็นบุ้งกี๋/ต้น (2.25 กก. / 1บุ้งกี๋) คิดเป็น 2 เท่าของเส้นผ่าศูนย์กลางทรงพุ่ม (เมตร) ต่อการใส่ 1 ปี แบ่งใส่ 2 ครั้ง ปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 หรือ 16-16-16 อัตราเป็นกิโลกรัม/ต้น/ปี คิดเป็นเท่ากับเส้นผ่าศูนย์กลางทรงพุ่ม (เมตร) เช่น ต้นที่มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางทรงพุ่ม 1 ม. ใช้ปุ๋ย 1 ก.ก. โดยแบ่งใส่ 2-4 ครั้ง |
การให้น้ำ |
ระบบการให้น้ำที่เหมาะสม ใช้ระบบการให้น้ำแบบหัวเหวี่ยงเล็ก ความต้องการน้ำของมังคุดต้นเล็ก ประมาณ 0.6 เท่าของค่าอัตราการระเหยน้ำ (ม.ม./วัน) คูณด้วยพื้นที่ใต้ทรงพุ่ม เช่นในภาคตะวันออก เมื่ออัตราการระเหยน้ำวันละ 3.8-5.7 ม.ม. มีพื้นที่ใต้ทรงพุ่ม 1 ม. เท่ากับการให้น้ำ 2.3-3.4 ล./ตั้น/วัน |
โรคพืช/ศัตรูพืช |
โรคใบจุด / โรคราสนิม / หนอนกินใบอ่อน / หนอนชอนใบ / เพลี้ยไฟ / ไรแดง |
การเก็บเกี่ยว |
การเก็บเกี่ยวโดยใช้เครื่องมือที่ป้องกันไม่ให้ผลหลุดร่วงหล่น หรือกระแทกรุนแรง ระวังอย่าให้ขั้วหัก หรือกลีบเลี้ยงช้ำ เลือกเก็บเฉพาะผลที่สุกแก่ในระยะสายเลือดการเก็บผลมังคุดนั้นจะดูที่การเปลี่ยนสีของเปลือก มังคุดที่สุกสีของเปลือกจะเปลี่ยนสีจากสีเขียวเป็นสีม่วงแดง จนถึงม่วงดำ การเก็บผลจะเริ่มได้ตั้งแต่สีผิวเปลือกเกิดจุดแต้มหรือประสีม่วงแดงขึ้นเล็กน้อย เมื่อเก็บผลมาแล้วสีผิวจะเปลี่ยนเป็นสีม่วงดำได้เหมือนกับผลที่อยู่บนต้น การเก็บผลต้องระวังไม่ให้ผลช้ำ วิธีเก็บมัลคุดนั้น ใช้เครื่องมือ เช่น จำปา ไม้ง่าม ตะขอกระตุก เป็นต้น แต่หากยังใช้วิธีเก็บผลด้วยเครื่องมือแบบดั้งเดิมอยู่ ควรคลุมโคนด้วยฟางข้าวหรือเศษพืชให้หนา จะช่วยลดการช้ำของผลที่ตกกระทบพื้นได้บ้าง |
การปฏิบัติหลังการเก็บเกี่ยว/การเก็บรักษา |
หลังเก็บเกี่ยวผลมังคุดแล้ว เก็บไว้ในที่ร่ม ทำความสะอาดผล ขูดยางที่เปลือกออก และคัดแยกคุณภาพก่อนจำหน่ายแยกมังคุดเป็น 3 พวก คือมีสีเขียวที่ผิวผล ผิวผลมีสีแดง และผลมีสีม่วงแดงจนถึงม่วงดำ นำมาแยกตามขนาด ทำการคัดผลที่มีตำหนิแยกไว้ต่างหาก ภาชนะที่ใช้ใส่ควรใช้เข่งขนาดเล็กหรือตะกร้าพลาสติก ด้านในควรมีวัสดุ เช่น การดาษ หรือกระสอบปุ๋ยกรุ เพื่อกันช้ำและลดการเสียดสี ไม่ควรบรรจุเกิน 20 กก. ควรวางผลมังคุดไว้ในที่ร่มซึ่งมีอากาศถ่ายเทได้ดี และเมื่อทำการบรรจุเสร็จควรรีบส่งตลาดทันที
|
สุขลักษณะและความสะอาด
|
กิ่ง ใบที่ร่วงหล่น หรือที่ตัดแต่งและเศษวัชพืช สามารถนำไปย่อยหมักเป็นปุ๋ยได้ แต่กิ่งและใบที่เป็นโรคควรเผาทำลายนอกแปลง/ เครื่องมือ/อุปกรณ์ และเครื่องทุ่นแรงประเภทต่างๆ หลังการใช้ ควรทำความสะอาด ดูแลซ่อมบำรุงให้เรียบร้อย นำไปเก็บให้เป็นที่/ เก็บสารป้องกันกำจัดศัตรูพืชและปุ๋ยเคมีในที่ปลอดภัย
|
แหล่งปลูก
|
นครศรีธรรมราช, สุราษฎร์ธานี, ชุมพร, ปราจีนบุรี, ตราด และจันทบุรี
|
ผลผลิต |
เฉลี่ย 877 กิโลกรัม/ไร่ |