Ran khaa ya
     
 

               นิทานตลกขบขัน  เป็นนิทานขนาดสั้นๆตอนเดียวจบ เป็นนิทานประเภทหนึ่งของไทยที่นิยมเล่าสู่กันฟัง   โดยมุ่งที่จะสร้างความขบขันให้แก่ผู้ฟัง   ตัวละครอาจเป็นมนุษย์หรือสัตว์ก็ได้ จุดสำคัญของเรื่องอยู่ที่ความไม่น่าจะเป็นไปได้ต่าง แบ่งออกเป็น 2 ประเภท
        นิทานตลกขบขันประเภทไม่หยาบโลน เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับความฉลาด ความโง่ ความเกียจคร้าน เรื่องเกี่ยวกับต่างชาติ ต่างถิ่นบางเรื่อง ตัวอย่างนิทานตลกขบขนประเภทไม่หยาบโลน เช่น
     เรื่องพ่อตากับลูกเขย    
           เรื่องมีอยู่ว่า พ่อตากับลูกเขยไปถกหญ้าม้ากันทุกวัน  วันหนึ่งทางบ้านย่างปลาดุกไว้   พอลูกเขยมาถึงก็กินลอกหนังปลาดุกหมดเหลือเนื้อให้พ่อตา พ่อตาโมโหมาก วันต่อมาทางบ้านต้มมันเทศพ่อตาก็รีบมากินเปลือกมันเทศหมด เหลือเนื้อให้ลูกเขยกินอย่างสบาย ทีนี้ก็ไปถกหญ้าม้ากันจนเต็มหาบ  ลูกเขยเลี่ยงจะแบกหาบทำทีว่าจะกลับบ้าน  พ่อตาก็แบกหาบไปรู้สึกหนัก เพราะลูกเขยแอบลงไปนอนในเข่งนั่นเอง  วันถัดมาพ่อตาเลี่ยงจะแบกหาบแล้วก็แอบไปนอนในเข่ง แต่ลูกเขยรู้ จึงแบกหาบไปวางข้างตลิ่งแล้วแกล้งบอกว่ามีช้างจะเหยียบหาบ  พ่อตาตกใจลุกออกจากเข่งเลยกลิ้งตกน้ำไป
     เรื่องยังไม่เที่ยง
           มีชายคนหนึ่งกับเพื่อนนั่งรอรถที่สถานี  รถออกตอนเที่ยง   ชายคนนั้นก็บอกให้เพื่อนไปดูนาฬิกา ไปดูกี่ครั้งๆก็บอกยังไม่เที่ยงจนตะวันคล้อยไปแล้ว   ชายคนนั้นจึงบอกให้เพื่อนพาไป   ดูนาฬิกา ปรากฏว่าที่เพื่อนไปดูไม่ใช่นาฬิกาแต่เป็นกิโลชั่งของ
     เรื่องพ่อตากับลูกเขยไปหาเต่า

          พ่อตากับลูกเขยได้ไปหาเต่าไปหาเต่าในดง   พอหาได้พ่อตาก็เป็นคนหามเต่า ลูกเขยไม่ได้หาม ทุกๆ วัน ก็จะนำสุนัขไปด้วย วันต่อมา ลูกเขยบอกพ่อตาว่า พรุ่งนี้ไม่ต้องนำสุนัขมาด้วย เพราะตนจะเป็นสุนัขแทน    ก่อนจะมาหาเต่า ลูกเขยได้หาเต่ายัดใส่ไว้ในโพรงก่อน พอถึงเวลาพ่อตากับลูกเขยก็ไม่พูดกันลูกเขยก็เห่าแบบหมาไปตามโพรงที่ซ่อนไว้   จนได้เต่ามากพอจนพ่อตาทานไม่ไหว    พอกลับบ้านพ่อตาก็เป็นสุนัขบ้าง   พอวันต่อมาไปหาเต่า พ่อตาร้องโอย ลูกเขยบอกว่าสุนัขไม่ร้องโอยแต่ร้องเอ๋งๆ พ่อตาจึงร้องเอ๋งๆ  ต่อมาพ่อตาไปเปลี่ยนมาเลี้ยงหมู ก็ได้ไปหาผักกับลูกเขย ลูกเขยขี้เกียจหาบผักจึงซ่อนไว้ในกระบุ้ง  พ่อตาไม่เห็นลูกเขยก็หาบผักกลับบ้าน   พอมาถึงบ้านจึงเห็นลุกเขยออกมาจากกระบุ้ง วันต่อมาได้ไปหาผักอีก พ่อตาจึงแกล้งลูกเขยไปซ่อนในกระบุ้งผัก ลูกเขยจึงได้หาบผักกลับบ้านแทน พอมาถึงคลองซึ้งเป็นตลิ่ง ลูกเขยก็วางหาบไว้ใกล้ๆ ตลิ่ง   เพื่อจะเบาแล้วก็แกล้งพูดว่า เฮ้ยๆ ใครจูงช้างมา ระวังจะเหยียบกระบุงผัก พ่อตาได้ยินจึงขยับตัว กระบุงผักก็ตกลงในคลอง
นิทานตลกขบขันประเภทโม้
 เป็นนิทานที่นำเอาความเหลือเชื่อมาเป็นกนของโครงเรื่อง คือเหตุการณ์ที่เป็นไปไม่ได้มาเป็นมุขตลก หรือสภาวะที่ไม่น่าจะมีไม่น่าจะเกิดขึ้นมาเป็นแกนของมุขตลกผู้ฟังจะได้รับความสนุกสนานจากความเหลือเชื่อของเนื้อเรื่องตัวอย่างนิทานตลกขบขันประเภทโม้เช่น
เรื่องโม้จริงๆ  

          สมัยหนึ่งมีป่าเยอะ ตาอ่วมไปถางป่าเผาทำให้เตียน แล้วก็ไปหว่านข้าวไว้ พอข้าวโตเต็มที่สามรถเก็บได้ ตาอ่วมจะไปเก็บ ก็ไปเจอไก่ป่าฝูงหนึ่ง  กำลังกินต้นข้าวอยู่ ตาอ่วมจึงไล่ ไก่เลยแตกตื่นหนีไป อีกวันหนึ่ง ถึงหน้าน้ำลด ตาอ่วมก็ถ่อเรือไปกู้ลอบ    เขาใช้เรือโกลนถ่อต่อ ตรงหัวนั้นมันรั่ว เขาจึงเอาดินไปอุดไว้  แล้วเอาท้ายไปแหย่ใต้พุ่มไม้  สมัยก่อนนั้นจะมีเต่ามาก เต่าก็จะย่องมาไข่บนท้ายเรือตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้มีตั้งสองรัง พอมาถึงหน้าเกี่ยวข้าว เมื้อเกี่ยวเสร็จ ก็ไปเลี้ยงควายต่อ    แล้วก็มีผึ้งชุมมากบริเวณนั้น ตาอ่วมก็นอนอย่างสบายใจ แต่มีผึ่งจำนวนมากมาไต่ที่ขา สลัดก็ไม่ออก ก็เลยวิ่งกลับมาที่บ้าน ผึ้งก็ยังเกาะขาอยู่
เรื่องจอมโกหก

           มีเด็กวัดสองคน โกหกเก่งไม่มีใครจับได้   วันหนึ่งลงไปอาบน้ำที่ท่าน้ำ แล้วตกลงกันว่าใครโกหกได้ดีจะมีรางวัล   คนแรกโดดไปอมสตางค์บาทหนึ่ง แล้วบอกเพื่อนว่า ดำไปเจอพญานาคเล่นไพ่ ขอตังค์ได้มาหนึ่งบาท   เพื่อนอีกคนก็รู้ว่าโกหกแต่ทำอะไรไม่ได้ ก็เลยโมโหกระโดดลงน้ำ หัวชนตอแตก   พอโผล่มาก็บอกว่าตัวเองดวงไม่ดี พญานาคเล่นไพ่เสีย เลยตีหัวตนแตก   แล้วบอกให้มาเอาเงินจากเพื่อนครึ่งหนึ่งไปซื้อยา

 

   
     
   
เว็บไซต์นี้ แสดงผลได้ดี บนความละเอียด 1024x768 Text Size Medium
วิชา การออกแบบเว็บไซต์เบื้องต้น ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ปีการศึกษา 2554
โรงเรียนนวมินทราชูทิศ มัชฌิม  เขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 42

   
SITEMAP นโยบายความเป็นส่วนตัว
นโยบายการคืนสินค้า
กฎของร้าน