Ran khaa ya
   
 
../images/menu2559b_02.jpg
 

สถานที่ที่ชื่นชอบ

น้ำตกเจ็ดสาวน้อย

ความเป็นมา เดิมคือวนอุทยานน้ำตกเจ็ดสาวน้อยซึ่งได้มีการสำรวจและจัดตั้งขึ้นในปีพ.ศ.2523โดยกองบำรุงกรมป่าไม้มีเนื้อที่ในการจัดตั้งครั้งแรก540ไร่ต่อมาในปีพ.ศ.2546ได้มีการสำรวจพื้นที่ผนวกเพิ่มเติมเพื่อจัดตั้งเป็นอุทยานแห่งชาติ ซึ่งกรมอุทยานแห่งชาติสัว์ป่าสัตว์ป่าและพันธุ์พืชได้ให้ความเห็นชอบและให้มีการเข้าควบคุมดูแลพื้นที่เพื่อเตรียมการในการประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติต่อไปสำหรับชื่อน้ำตกเจ็ดสาวน้อยได้มาจากชื่อหมู่บ้านที่อยู่ด้านทิศเหนือของน้ำตกที่มีชื่อว่า "บ้านสาวน้อย" เมื่อจากหน้าที่ป่าไม้ได้เข้ามาสำรวจพื้นที่เพื่อจัดตั้งวนอุทยานได้พบน้ำตกมีจำนวน 7 ชั้น ในบริเวณพื้นที่ดังกล่าว ดังนั้นจึงได้ตั้งชื่อน้ำตกว่า "น้ำตกเจ็ดสาวน้อย" ตามชื่อหมู่บ้านและจำนวนชั้นของน้ำตกที่ค้นพบ

1.นิทานเรื่องแรก…
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งอยู่ไม่ไกลจากเมืองหลวงนัก หมู่บ้านนี้เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ประกอบด้วยชาวบ้านไม่กี่ครัวเรือน อาศัยอยู่ด้วยการเลี้ยงสัตว์ และการปลูกผักเล็กๆ น้อย บางครั้งชาวบ้านก็จะนัดกันเข้าไปป่าล่าสัตว์ หาของป่าที่มีอยู่อย่างอุดมตามเทือกเขาดงพญาเย็น ในตอนกลางวัน ผู้ชายก็จะออกไปเลี้ยงสัตว์ หรือไม่ก็เข้าไปหาของป่า ส่วนผู้หญิงก็จะอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือนดูแลลูกในวัยเล็ก และทำสวนครัวเล็กๆ รอบบริเวณบ้าน เด็กหนุ่ม และเด็กสาวก็จะจับกลุ่ม นัดกันออกไปเที่ยวเล่นในละแวกใกล้เคียงอย่างสนุกสนาน และสำราญใจเเย็นวันหนึ่ง ลังจากผู้ใหญ่มีกลับจากป่าพร้อมกับหมูป่าตัวเขื่อง ที่แก และลูกบ้านวัยฉกรรจ์สามคนได้ช่วยกันไล่ลามา แกนั่งลงบนชานบ้าน แล้วบรรจงหยิบขันใส่น้ำเย็นยกเข้าปาก เพื่อให้หายจากความเมื่อยล้า และความเหน็ดเหนื่อยจากการเข้าป่าไปทั้งวัน แกออกไปตั้ง แต่ฟ้ายังไม่สาง ยายศรีผู้เป็นเมียก็ค่อยเข้ามาแจ้งข่าวร้ายให้กับผู้ใหญ่มีฟังทั้งน้ำตาผู้ใหญ่มีและยายศรีมีลูกสาวหลายคน แต่ที่เห็นว่าจะเป็นหัวแก้วหัวแหวนก็คงจะไม่พ้นน้องนุชคนสุดท้องที่ทั้งสองทั้งรัก และทะนุถนอมปานดวงใจ ลูกสาวลูกคนอื่นๆ มีผัวออกไปหมดแล้ว ก็คงเหลือ แต่แม่แก้วนี่แหละที่ยังอยู่กับตายายคู่นี้ แม่แก้วเป็นเด็กสาวที่น่ารัก ผิวสีน้ำผึ้งของเธอนั้นสวยเปล่งปลั่ง ใบหน้าจิ้มลิ้มน่ารัก พร้อมทั้งมีกิริยามารยาทที่งดงาม สมกับเป็นลูกสาวของผู้นำหมู่บ้าน เธอเพิ่งแตกเนื้อสาว เป็นที่หมายปองของชายหนุ่มทั้งหมู่บ้าน และตำบลใกล้เคียง

วันนั้นวันที่ผู้ใหญ่มีและยายศรีสูญเสียลูกสาวคนรักของตนไปอย่างไม่มีวันกลับ แม่แก้วและเพื่อนอีก6คนได้ชวนกันไปเล่นน้ำตกที่ท้ายหมู่บ้านตั้งแต่เช้าตามลำพังประสาหญิงสาว พวกเธอทั้งเจ็ดคนเพิ่งได้ออกไปเที่ยวไกลๆ ด้วยกันครั้งแรกตั้งแต่เล่นกันมาตั้ง แต่เด็กตัวเล็ก ท่ามกลางอากาศร้อนจัดในบ่ายวันนั้น ไม่สายได้มาหายายศรีด้วยสีหน้าอันเศร้าสลดพร้อมทั้งบอกถึงข่าวที่ลูกสาวของตน และ เพื่อนๆ รวมถึงแม่แก้วของยายศรีด้วยได้จมน้ำตายขณะไปเล่นน้ำตกทั้งหมู่บ้านที่เคยกึกก้องบัดนี้เต็มไปด้วยเสียงร้องไห้ที่แผ่วเบา และหยาดน้ำตาที่ไหลระริน

2. นิทาน…อีกเรื่อง
กาลครั้งหนึ่งไม่นานมานี้มีเด็กคนหนึ่งได้เติบโตขึ้นในเมืองหลวงมีแต่ตึกรามบ้านช่อ.แต่รถยนต์พ่นขวันขโมงและส่งเสียงแตรเจี้ยวจ้าวน่ารำคาญเขาเคยได้ยินผู้ใหญ่พูดถึง“ป่า”ได้ยินบ่อยๆ จริงๆแล้วเขาไมรู้จักว่าป่าเป็นอย่างไรรู้แต่เพียงว่าป่าคือที่เต็มไปด้วยสิงสาราสัตว์และพฤกษชาตินานาพันธุ์รวมทั้งต้นไม้ต้นใหญ่แบบที่เขาเคยเห็นที่บ้านเมื่อเขาโตขึ้นพอที่จะเข้าโรงเรียนได ้คุณครูบอกเด็ก น้อยคนนั้นว่าป่าไม่ได้มีต้นไม้ใหญ่เพียงสิบหรือยี่สิบต้นแต่มันมีเป็นพันๆแสนๆต้นและไม้ใหญ่เหล่า นั้นคุณทวดหรือคุณตาของเขาไม่ได้ป,ูกมันเกิดขึ้นเองหรือ ไม่ก็อาจจะมีเทวดามาปลูกและรดน้ำพรวนดินพอเด็กน้อยคนนั้นได้เติบโตขึ้นเป็นเด็กหนุ่มความอยากรู้ว่าป่าเป็นอย่างไรของเขาก็ยังมีอยู่เหมือนเดิมเขาจำได้ว่าเมื่อยังเป็นเด็กตัวเล็กเขาเคยถามเพื่อนเหมือนกันว่ารู้จักป่าหรือเปล่าเพื่อนเขาไม่รู้และถามตอบว่าป่าคือขนมอะไรหรืออร่อยไหมเขาตอบ ไปว่าไม่ใช่แต่เขาก็ไม่รู้ว่ามันเป็นอย่างไรพอตอนนี้เขาเริ่มอ่านออกเขียนได้แล้วเขาได้ทำความรู้จักป่ามากขึ้นจากหนังสือนิตยสารต่างๆที่คุณพ่อของเขาซื้อให้อ่านเขารู้สึกว่าเขาอยากไปเที่ยวป่า เพราะป่านั้นดูเขียวขจี มีต้นไม้ใหญ่ มีต้นหญ้าเล็ก มีดอกไม้สีสดชู่ช่อบานสะพรั่ง ยังมีสัตว์น้อยใหญ่ที่น่ารักน่าเอ็นดู เขารู้เพียงแค่นั้นแต่เขาก็ยังไม่เคยได้สัมผัสกับป่าจริงๆ สักครั้งโตขึ้น เขาถูกส่งให้ไปอยู่โรงเรียนประจำ โรงเรียนที่มี แต่เด็กๆ รุ่นราวคราวเดียวกันเต็มไปหมด เขามี เพื่อนมากกว่า 6 คน เขากินกับ เพื่อน เขานอนกับ เพื่อน เขาเล่นกับ เพื่อน เพื่อนของเขาหลายคนไม่รู้จักป่า และก็ดูเหมือนว่าไม่อยากรู้จักมันด้วยอีก เพื่อน แต่ละคนไม่เหมือนกันเลยแม้สักนิด แต่เขาก็เข้ากับ เพื่อนเหล่านั้นได้ดี และรักกันปานพี่น้องท้องเดียวกันก็ เพราะความอยากรู้อยากเห็นในวัยเด็กของเขากระมัง ที่ ทำให้เด็กหนุ่มคนนี้ชอบต้นไม้ และป่าเขา เขาเริ่มทำฝันในวัยเด็กของเขาเป็นจริงแล้วในที่สุดเขาก็ได้ไปเที่ยวป่า ได้ไปสัมผัสความชุ่มชื้น และความชุ่มฉ่ำของความเขียวขจีดั่งที่เขาเคยอ่านเคยเห็นในหนังสือ เขาได้รู้ว่าป่าเป็นอย่างไร เขามีความสุข ทุกคืนก่อนนอน เขามักคิดถึงป่า เขามักคิดถึงธรรมชาติ เสียงน้ำตกดั่งลั่นในภวังค์ คิดถึงความสุขที่เต็มไปด้วยหยาดเหงื่อที่ไหลระริน เมื่อได้ออกเดินทางสู่ความชุ่มชื้นเขียวขจี

3.นิทานเรื่องสุดท้าย
กาลครั้งหนึ่งไม่นานมานี้ เด็กน้อยคนเดิม ซึ่งบัดนี้ได้โตขึ้นเป็นหนุ่มใหญ่ได้กลับไปเยี่ยมเยียนน้ำตกเจ็ดสาวน้อยอันเป็นที่รักอีกครั้งเมื่อต้นปี เขายังไม่เบื่อกับการไปสถานที่เดิมๆ เขาทำกิจกรรมอย่างเดิมๆ คือ เดินไปรอบๆ น้ำตก และก้มดูไม้น้ำที่เป็นสวยงามอันจับจิตของเขา เขาเดินไปเรื่อยๆ เขาเดินวนไปวนมา ซ้ำแล้ว…ซ้ำเล่าภาพต่างๆ แม้จะวนเวียนให้เขาได้เห็นไม่รู้กี่ร้อยครั้ง แต่เขากลับไม่เคยหน่ายกับมันเลยชีวิตเปี่ยมด้วยความสุขฉันใด ย่อมเต็มไปด้วยความทุกข์ฉันนั้น สุขทุกข์เป็นธรรมดาของมนุษย์ เช่นกัน การกลับมาเยี่ยมน้ำตกเจ็ดสาวน้อยในครั้งนี้ หนุ่มน้อยไม่ได้กลับไปด้วยความปีติยินดี หากต้องพกเอาความปวดร้ายไปในจิตใจ น้ำตกเจ็ดสาวน้อยที่เขารักในวันนี้ มีคนเจตนาไม่บริสุทธิ์กับมันแล้วณ ที่เดิม เวลาเดิม เขากลับไปดูตะไคร่น้ำกลุ่มใหญ่ที่เขามันแวะเวียนไปทักทายทุกครั้งที่เขามาน้ำตกแห่งนี้ เขาเห็นความเปลี่ยนแปลงกับไม้น้ำกลุ่มนี้ จากใบอ่อนเป็นใบแก่ จากเล็กเป็นใหญ่ แต่ครั้งนี้ เขาพบว่ามีคนมาเอาของรักในจิตใจของเขาไป ตะไคร่น้ำกอนั้น ไม่ได้อยู่ตรงนั้นอีกแล้ว เหลือไว้เพียงรากขาวที่สมควรที่จะอยู่ใต้ผืนทราย เป็นร่องรอยของการขุด ใครมาเอามันไป เขาสบถกับตัวเองเขาไม่รีรอที่จะกระหืดกระหอบไปถามชาวบ้านที่ดูแลน้ำตกเล็กๆ ริมถนนสู่วนอุทยานน้ำตกเจ็ดสาวน้อย มันเป็นที่เอกชน ที่เปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยว ขายอาหาร และให้คนมาเล่นน้ำ และเขาก็ได้ยินสิ่งที่ทำร้ายจิตใจของเขาไปอีก “มีคนมาขอเก็บ ป้าเห็นว่าดี มันดูสกปรก เลยให้เอาไปฟรีๆ ” “เอาไปเป็นถุงปุ๋ยเลย ดีแล้ว น้ำจะได้ไม่เน่า” คำพูดไม่กี่คำดังลั่นในจิตสำนึกของเขา ทำไมผู้คนถึงดูถูกดูแคลนมันถึงเพียงนี้ มันไม่เคยทำร้ายใคร แถมยังให้ประโยชน์ ดูดแร่ธาตุที่ไม่จำเป็น และยึดตะกอนดินตะกอนทรายไว้ ให้น้ำในน้ำตกแห่งนี้บริสุทธิ์ และใสสะอาด เป็นที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตนานาพันธุ์จริงอยู่ตะไคร่น้ำไม่มีประโยชน์ชัดเจนมันกินไม่ได้ทำอะไรไม่ได้ทั้งนั้นแต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่ามันทำกำไรเป็นกอบเป็นกำให้พวกพ่อค้าที่เอามันไปขายให้กับฝรั่ง เพื่อเป็นไม้น้ำประดับตู้ปลา ที่มีคนมาเก็บเอาไปเป็นถุงปุ๋ยนั้น เขาถูกจ้างมา เอามันไปตัดราก เพาะชำใหม่สักพักในโรงเรือน ไม่นานก็เอาไปส่งออก หรือขายในตลาดปลาสวยงามในประเทศได้ พวกนี้ทำธุรกิจโดยไม่ต้องลงทุน มาปู้ยี้ปู้ยำธรรมชาติ เด็กหนุ่มคนนั้นไม่สบอารมณ์

ที่พักและสิ่งอำนวยความสะดวกอุทยานแห่งชาติน้ำตกเจ็ดสาวน้อยไม่มีบ้านพักให้บริการ หากมีความประสงค์จะเดินทางไป พักแรมเพื่อพักผ่อน หย่อนใจ หรือศึกษาหาความรู้ทางธรรมชาติ โปรดนำเต็นท์ไปกางเอง สามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว
สถานที่ติดต่อ
อุทยานแห่งชาติน้ำตกเจ็ดสาวน้อย
หมู่ 9 บ้านแก่งหลุ ต.มวกเหล็ก อ.มวกเหล็ก จ.สระบุรี 18180
โทรศัพท์ 0 3634 4416 โทรสาร 0 3634 4416 อีเมล [email protected]

การเดินทางไปน้ำตกเจ็ดสาวน้อย1. โดยรถยนต์ส่วนตัว
จังหวัดสระบุรีอยู่ห่างจากกรุงเทพฯ ตามถนนพหลโยธิน ระยะทาง 108 กิโลเมตร และตามทางรถไฟ สายตะวัน ออกเฉียงเหนือระยะทาง 113 กิโลเมตร จากตัวเมืองสระบุรีโดยใช้เส้นทางสายหลัก คือ ถนนมิตรภาพ ผ่าน อำเภอแก่งคอยไปมวกเหล็ก

 

 

 

             ที่มา http://www.paiduaykan.com/76_province/central/saraburi/jedsaonoi-waterfall.html สืบค้นวันที่ 20 พฤษภษคฒ พ.ศ. 2559

 

       

 
 
   
 
   
เว็บไซต์นี้ แสดงผลได้ดี บนความละเอียด 1024x768 Text Size Medium
วิชา การพัฒนาเว็บไซต์เพื่อจัดทำโครงงาน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ปีการศึกษา 2559
โรงเรียนนวมินทราชูทิศ มัชฌิม อำเภอเมืองนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์
   
SITEMAP นโยบายความเป็นส่วนตัว
นโยบายการคืนสินค้า
กฎของร้าน