Ran khaa ya
     
../images/menu2559b_02.jpg
 

สาระความรู้ที่สนใจ
พระเยซ

 

พระเยซู (อังกฤษ: Jesus) หรือ เยซูชาวนาซาเร็ธ (อังกฤษ: Jesus of Nazareth; 4-2 ปีก่อนคริสตกาล - ค.ศ. 30-33[1]) เป็นชาวยิวผู้เป็นศาสดาของศาสนาคริสต์ คริสต์ศาสนิกชนเรียกพระองค์ว่า พระเยซูคริสต์ เพราะถือว่าพระองค์เป็นพระคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระบุตรพระเป็นเจ้า และเป็นพระเจ้าพระบุตรซึ่งเป็นพระบุคคลหนึ่งในพระตรีเอกภาพ นอกจากนี้ในคัมภีร์ไบเบิลยังบันทึกว่าพระเยซูทรงแสดงปาฏิหาริย์ทรงรักษาคนตาบอดให้หายขาด รักษาคนพิการ โดยตรัสว่า บาปของเจ้าได้รับการให้อภัยแล้ว หลังพระเยซูสิ้นพระชนม์ ก็ได้ทรงฟื้นขึ้นจากความตายหลังสิ้นพระชนม์ได้เพียง 3 วัน และทรงเสด็จขึ้นสู่สวรรค์
ชาวมุสลิมก็ให้ความเคารพพระเยซูเช่นกัน แต่เชื่อต่างจากชาวคริสต์ โดยชาวมุสลิมเรียกพระเยซูว่านบีอีซา คัมภีร์อัลกุรอานระบุว่าพระเยซูไม่ใช่ทั้งพระเจ้าและพระบุตรของพระเจ้า[2] แต่เป็นบ่าวคนหนึ่งของพระเจ้า[3] และเป็นเราะซูลที่พระเจ้าส่งมาเป็นแบบอย่างทางศีลธรรมให้แก่ชาวอิสราเอล[4]เช่นเดียวกับเราะซูลอื่น ๆ นอกจากนี้กุรอานยังอ้างว่าพระเยซูได้ทำนายถึงเราะซูลอีกท่านหนึ่งที่จะมาในอนาคตด้วยว่าชื่ออะหมัด[5]
คำว่า "เยซู" มาจากคำในภาษากรีกคือ "เยซุส" ?????? [I?so?s] ซึ่งมาจากการถ่ายอักษรชื่อ Yeshua [เยชูวา] ในภาษาแอราเมอิกหรือฮีบรูอีกทอดหนึ่ง คริสตชนอาหรับเรียกเยซูว่า "ยาซูอฺ" ตามภาษาซีรีแอก ส่วนชาวอาหรับมุสลิมเรียกว่า "อีซา" ตามอัลกุรอาน ความหมายคือ "ผู้ช่วยให้รอด" เป็นชื่อที่ใช้กันมากในหมู่ชาวยิวตั้งแต่สมัยโยชูวาเป็นต้นมา ภาษาละตินแผลงเป็นเยซูส ภาษาโปรตุเกสแผลงต่อเป็นเยซู ภาษาไทยทับศัพท์ภาษาโปรตุเกสมาจนทุกวันนี้ ส่วนคำว่า "คริสต์" เป็นสมญาซึ่งมาจากคำในภาษากรีกว่า "คริสตอส" ??????? [Christos] ซึ่งเป็นคำแปลของคำภาษาฮีบรู Messiah อันหมายถึง "ผู้ได้รับการเจิม" ชาวอาหรับเรียกว่า "มะซีฮฺ" ซึ่งหมายถึงการแต่งตั้งให้ทำหน้าที่สูงส่ง เช่น พระมหากษัตริย์ ปุโรหิต ผู้เผยพระวจนะ เป็นต้น
เมื่อราชอาณาจักรยูดาห์เสียแก่บาบิโลน ก็สิ้นกษัตริย์ที่ได้รับการเจิม ต่อจากนั้นชาวยิวก็โหยหาพระเมสสิยาห์ที่จะมาสร้างอาณาจักรใหม่ของพระเจ้า "พระคริสต์" จึงเป็นชื่อตำแหน่ง ไม่ใช่ชื่อตัวบุคคล ผู้นิพนธ์พระวรสารสี่ท่านมักเรียกพระองค์ว่า "พระเยซู" และเพื่อให้แตกต่างจากคนอื่น ๆ ที่ชื่อเหมือนกัน ก็เรียกเป็น "พระเยซูชาวนาซาเรธ" หรือ "พระเยซูบุตรของโยเซฟ" แต่นักบุญเปาโลหรือเปาโลอัครทูตมักเรียกพระองค์ว่า "พระคริสต์" หรือ "พระเยซูคริสต์" ที่เรียกว่า "พระคริสต์เยซู" ก็มี

          คัมภีร์ไบเบิลภาคพันธสัญญาใหม่ระบุว่าการตรึงพระเยซูที่กางเขนเกิดขึ้นตอนเช้า "เมื่อเขาตรึงพระองค์ไว้นั้นเป็นเวลาเช้าสามโมง"  และสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนในเวลาบ่าย "เวลานั้นประมาณเวลาเที่ยง ก็บังเกิดมืดมัวทั่วแผ่นดิน จนถึงบ่ายสามโมง ดวงอาทิตย์ก็มืดไป ม่านในพระวิหารก็ขาดตรงกลาง พระเยซูทรงร้องเสียงดังตรัสว่า 'พระบิดาเจ้าข้า ข้าพระองค์ฝากวิญญาณจิตของข้าพระองค์ไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์'ตรัสอย่างนั้นแล้วก็สิ้นพระชนม์"

          หลังจากนั้นพระองค์เสด็จกลับฟื้นคืนพระชนม์ในวันที่ 3 "แต่เช้ามืดในวันต้นสัปดาห์หญิงเหล่านั้นจึงนำเครื่องหอมที่เขาได้จัดเตรียมไว้มาถึงอุโมงค์เขาเหล่านั้นเห็นก้อนหินกลิ้งพ้นจากปากอุโมงค์แล้ว และเมื่อเข้าไปมิได้เห็นพระศพของพระเยซูเจ้า"  "หญิงเหล่านั้นก็ไปจากอุโมงค์โดยเร็วทั้งกลัวทั้งยินดีเป็นอันมาก วิ่งไปบอกพวกสาวกของพระองค์ ดูเถิด พระเยซูได้เสด็จพบเขาและตรัสว่า 'จงจำเริญเถิด'หญิงเหล่านั้นก็มากอดพระบาทนมัสการพระองค์ พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า 'อย่ากลัวเลยจงไปบอกพวกพี่น้องของเราให้ไปยังกาลิลีจะได้พบเราที่นั่น'"  บุคคลที่พระเยซูทรงปรากฏให้เห็นก่อนที่จะเสด็จขึ้นสู่ฟ้าสวรรค์ ได้แก่ มารีย์ชาวมักดาลา , เคลโอปัสและศิษย์อีกคนหนึ่งซึ่งในพระคัมภีร์ไม่ได้ระบุชื่อ , สาวกทั้งสิบเอ็ดคน , สาวกเจ็ดคน พระเยซูทรงประทับอยู่กับเหล่าสาวกราว 40 วัน และเสด็จขึ้นสวรรค์ต่อหน้าพวกเขา"เมื่อพระองค์ตรัสเช่นนั้นแล้วพระเจ้าก็ทรงรับพระองค์ขึ้นไปต่อหน้าต่อตาเขา และมีเมฆคลุมพระองค์ให้พ้นสายตาของเขา" ?การกลับใจการฝ่าฝืนพระบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้าทำให้เรารู้สึกเศร้าโศกเสียใจ แต่พระเยซูคริสต์ทรงเตรียมทางให้เราได้รับการให้อภัยการมีศรัทธาในพระเยซูคริสต์ทำให้เราต้องการดำเนินชีวิตให้ดี เมื่อเราทำบาปและพยายามกลับใจ เราสำนึกและรู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้งจริงใจในสิ่งที่เราทำผิด พระผู้เป็นเจ้าเข้าพระทัยเมื่อครั้งทรงสร้างโลกว่าเราจะไม่สมบูรณ์แบบ ด้วยเหตุนี้จึงทรงเตรียมทางให้เราเอาชนะบาปของเรา ความสามารถที่จะกลับใจเป็นพรประเสริฐสุดอย่างแท้จริงประการหนึ่งของเราเพื่อกลับใจเราต้องรู้สำนึกและรู้สึกเสียใจในสิ่งที่เราทำผิด ทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อชดเชยความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น และทิ้งพฤติกรรมที่เป็นบาปไว้เบื้องหลัง การกลับใจอาจจะยากและเรียกร้องความซื่อสัตย์อย่างมาก แต่ปีติและเสรีภาพที่เรารู้สึกเมื่อเราละทิ้งบาปย่อมคุ้มค่าความพยายาม เนื่องจากพระคริสต์ทรงทนทุกข์เพราะบาปของเรา เราจึงสามารถได้รับการให้อภัยเมื่อเรากลับใจ นั่นคือสาเหตุที่การชดใช้สำคัญยิ่งต่อเราทุกคนเราเชื่อว่าการชดใช้ของพระคริสต์ทำให้เราสามารถกลับใจและสะอาดจากบาปได้ การกล่าวว่าเราต้องกลับใจจากบาปอาจฟังเหมือนเป็นการลงโทษ แต่การลงโทษที่แท้จริงคือความรู้สึกผิด ความเสียใจ และความผิดหวังที่เรารู้สึกเมื่อเราทำบาป การกลับใจตรงข้ามกับการลงโทษเพราะการกลับใจยอมให้เราสะอาดในสายพระเนตรของพระผู้เป็นเจ้าและลบความรู้สึกผิดอันเนื่องจากการเลือกไม่ดีของเรา

   บัพติศมา
“รับบัพติศมาสู่การกลับใจ, เพื่อท่านจะรับการล้างจากบาปของท่าน.” – แอลมา 7:14เราเข้าร่วมศาสนจักรของพระเยซูคริสต์โดยรับบัพติศมา
บัพติศมาคือสัญญาหรือพันธสัญญาที่เราทำเพื่อติดตามพระเยซูคริสต์ตลอดชีวิตของเรา เมื่อเราพัฒนาศรัทธาในพระองค์และกลับใจจากบาปของเรา บุคคลผู้มีสิทธิอำนาจของพระผู้เป็นเจ้าที่จะให้บัพติศมาเราจะจุ่มเราลงในน้ำทั้งตัวและพยุงเรากลับขึ้นมา ศาสนพิธีหรือพิธีนี้แสดงถึงการฝังและการเกิดใหม่ เป็นสัญลักษณ์ของการสิ้นสุดชีวิตเก่าและเริ่มต้นชีวิตใหม่ในฐานะผู้ติดตามพระเยซูคริสต์เมื่อเรารับบัพติศมา เรารับพระนามของพระคริสต์ไว้กับเรา ในฐานะชาวคริสต์เราพยายามทำตามพระองค์ในชีวิตทุกด้าน พระเยซูทรงรับบัพติศมาเมื่อพระองค์ประทับบนแผ่นดินโลก พระองค์ทรงขอให้เราทำตามแบบอย่างของพระองค์และรับบัพติศมา (ดู 2 นีไฟ 31:12) พระองค์ทรงสัญญาว่าถ้าเราทำตามแบบอย่างของพระองค์และรักษาสัญญาที่เราทำเมื่อครั้งรับบัพติศมา เราจะมีพระวิญญาณของพระองค์นำทางเราให้ผ่านชีวิตนี้ไปได้เพราะพระบิดาบนสวรรค์ทรงเป็นพระผู้เป็นเจ้าที่เที่ยงธรรมและเปี่ยมด้วยความรัก มุกคนจึงจะมีโอกาสยอมรับพระเยซูคริสต์ผ่านบัพติศมา ถ้าไม่ในชีวิตนี้ก็ในชีวิตหน้าหลังจากพระเยซูทรงรับบัพติศมา มีพระสุรเสียงจากสวรรค์ว่า “ท่านเป็นบุตรที่รักของเรา เราชอบใจกลับคืนพระชนม์ครั้นวันที่สามผ่านไป เหล่าพวกผู้หญิงได้มาที่อุโมงค์ ทันใดนั้นเกิดแผ่นดินไหวใหญ่ยิ่งนัก ทูตของพระเจ้าองค์หนึ่งได้กลิ้งก้อนหินออกจากปากอุโมงค์ แล้วกล่าวแก่หญิงนั้นว่า พระเยซูฟื้นคืนพระชนม์ชีพจากความตายแล้ว และให้ไปยังแคว้นกาลิลีจะได้พบพระองค์ที่นั่น หญิงเหล่านั้นจึงไปจากอุโมงค์โดยเร็ว วิ่งไปบอกสาวกของพระเยซู ฝ่ายทหารที่เฝ้าอุโมงค์ได้เข้าไปในเมืองแล้วเล่าเหตุการณ์นั้นให้มหาปุโรหิตฟัง เมื่อพวกเขาปรึกษากันแล้วก็แจกเงินเป็นอันมากให้พวกทหาร โดยสั่งให้พูดกันทั่วไปว่า พวกสาวกแอบมาลักเอาศพไปในตอนกลางคืน ครั้นพวกทหารได้รับเงินแล้วก็ทำตามนั้น บรรดาพวกยิวจึงเชื่อตามคำของทหารเหล่านั้นหลังจากการคืนพระชนม์ของพระเยซูแล้ว พระองค์ทรงปรากฏให้เหล่าสาวกและคนเป็นจำนวนมากได้เห็นเพื่อจะได้เชื่อ เป็นพยานและวางใจในพระองค์ ก่อนที่จะเสด็จขึ้นสวรรค์ต่อหน้าพวกเขา "เมื่อพระองค์ตรัสเช่นนั้นแล้ว พระเจ้าก็ทรงรับพระองค์ขึ้นไปต่อหน้าต่อตาเขา และมีเมฆคลุมพระองค์ให้พ้นสายตาของเขา"

ที่มา https://www.mormon.org/tha/prayesukris

 

 

 

 

 
 
     
   
เว็บไซต์นี้ แสดงผลได้ดี บนความละเอียด 1024x768 Text Size Medium
วิชา การพัฒนาเว็บไซต์เพื่อจัดทำโครงงาน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ปีการศึกษา 2559
โรงเรียนนวมินทราชูทิศ มัชฌิม อำเภอเมืองนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์
   
SITEMAP นโยบายความเป็นส่วนตัว
นโยบายการคืนสินค้า
กฎของร้าน