เสือ
เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในวงศ์ฟิลิดีซึ่งเป็นวงศ์เดียวกับแมวโดยชนิดที่เรียกว่าเสือมักมีขนาดลำตัวค่อนข้างใหญ่กว่า[1]และอาศัยอยู่ภายในป่า ขนาดของลำตัวประมาณ 168 - 227 เซนติเมตรและหนักประมาณ 180 - 245 กิโลกรัม[2] รูม่านตากลม เป็นสัตว์กินเนื้อกลุ่มหนึ่ง มีลักษณะและรูปร่างรวมทั้งพฤติกรรมที่เป็นเอกลักษณ์ แตกต่างจากสัตว์ในกลุ่มอื่น หากินเวลากลางคืน มีถิ่นกำเนิดในป่า เสือส่วนใหญ่ยังคงมีความสามารถในการปีนป่ายต้นไม้ ซึ่งยกเว้นเสือชีต้า เสือทุกชนิดมีกรามที่สั้นและแข็งแรง มีเขี้ยว 2 คู่สำหรับกัดเหยื่อ ทั่วทั้งโลกมีสัตว์ที่อยู่ในวงศ์เสือและแมวประมาณ 37 ชนิด ซึ่งรวมทั้งแมวบ้านด้วย[3]
เสือจัดเป็นสัตว์นักล่าที่มีความสง่างามในตัวเอง โดยเฉพาะเสือขนาดใหญ่ที่แลดูน่าเกรงขราม ไม่ว่าจะเป็นเสือโคร่งหรือเสือดาว ผู้ที่พบเห็นเสือในครั้งแรกย่อมเกิดความประทับใจในความสง่างาม แต่ในขณะเดียวกันก็เกิดความหวาดหวั่นเกรงขามในพละกำลังและอำนาจภายในตัวของพวกมัน เสือจึงได้รับการยกย่องให้เป็นราชาแห่งสัตว์ปา และเป็นจ้าวแห่งนักล่าอย่างแท้จริง [4]
ปัจจุบันจำนวนของเสือในประเทศไทยลดจำนวนลงเป็นอย่างมากในระยะเวลาไม่ถึง 10 ปี เสือกลับถูกล่า ป่าภายในประเทศถูกทำลายเป็นอย่างมาก สภาพธรรมชาติในพื้นที่ต่าง ๆ ถูกเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากมาย ส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมความเป็นอยู่ของมนุษย์เอง ทุกวันนี้ปริมาณของเสือที่จัดอยู่ในลำดับสุดท้ายของห่วงโซ่อาหารถือเป็นสิ่งจำเป็น เพราะการสูญสิ้นหรือลดจำนวนลงอย่างมากของเสือซึ่งเป็นสัตว์กินเนื้อ จะส่งผลกระทบต่อโครงสร้างและระบบนิเวศทั้งหมด การลดจำนวนอย่างรวดเร็วของเสือเพียงหนึ่งหรือสองชนิดในประเทศไทย ทำให้ปริมาณของสัตว์กินพืชเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว จนทำให้ธรรมชาติเสียความสมดุลในที่สุด
เสือส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในป่าและทุ่งหญ้า ส่วนใหญ่ไม่ชอบน้ำเช่นเดียวกับแมวทั่วไป มีเพียงเสือโคร่ง[5]และเสือจากัวร์เท่านั้นที่ชอบน้ำ[6] ยิ่งกว่านั้นสถานที่ที่พบเสือโคร่งบ่อยที่สุดมักจะเป็นแอ่งน้ำ ทะเลสาบ หรือแม่น้ำ เสือเป็นสัตว์ที่หากินโดยลำพัง อาหารหลักมักจะเป็นสัตว์กินพืชขนาดกลางอย่างเช่น กวาง หมูป่า และควาย ซึ่งจะล่าเหยื่อด้วยวิธีการเดิน ย่อง วิ่งไล่และตะครุบเหยื่อ อย่างไรก็ตามพวกมันอาจจะออกล่าสัตว์ที่ขนาดใหญ่กว่าหรือเล็กกว่าในสถานการณ์ที่คับขัน
เสือมีลักษณะพิเศษคือสามารถซ่อนเล็บไว้ในปลายนิ้วเท้าได้ เมื่อต้องการจับยึดเหยื่อจะกางเล็บเท้าหน้าออก ส่วนเล็บเท้าด้านหลังจะใช้เป็นอาวุธสำหรับฉีกกระชากเหยื่อ และในขณะที่เสือวิ่งเล็บเท้าหลังจะช่วยยึดเกาะ ทำให้สามารถตะกุยพื้นเร่งความเร็วได้เร็วขึ้น นอกจากนี้วิธีการหดซ่อนเล็บของเสือยังเป็นวิธีการรักษาความแหลมคมของเล็บไว้ เพื่อป้องกันการขูดขีดขณะเดินหรือเคลื่อนไหวตามปกติ ศัตรูเพียงชนิดเดียวของเสือก็คือมนุษย์ ปัจจุบันเสือถูกล่าอย่างผิดกฎหมายเพื่อนำไปทำเสื้อขนสัตว์ และเป็นความเชื่อในการทำยาบำรุงกำลังของผู้ชาย
จากความเสียหายของถิ่นที่อยู่ รวมทั้งการล่าเพื่อทำหนังขนสัตว์ จำนวนเสือตามธรรมชาติจึงลดน้อยลง เสือจึงเป็นสัตว์ที่อยู่รายการสปีชีส์ที่กำลังอยู่ในอันตราย เสือเป็นหนึ่งในสัตว์ที่อยู่ในระดับเหนือสุดของห่วงโซ่อาหาร เพราะการสูญสิ้นหรือลดปริมาณลงอย่างรวดเร็วของเสือ ส่งผลกระทบต่อโครงสร้างและความสัมพันธ์ของห่วงโซ่อาหารและระบบนิเวศทั้งหมด การสูญพันธุ์ของสัตว์กินเนื้อเพียงหนึ่งหรือสองชนิด จะทำให้กลุ่มของสัตว์กินพืชเพิ่มปริมาณขึ้นอย่างรวดเร็วจนกระทั่งธรรมชาติเสียความสมดุล ปัจจุบันได้มีมาตรการคุ้มครองสัตว์กินเนื้อ โดยเฉพาะสัตว์ในกลุ่มเสือให้รอดพ้นจากการล่าของมนุษย์ เพื่อให้สัตว์กินเนื้อเหล่านี้ไม่สูญพันธุ์ไปจนหมด
|
วิวัฒนาการของเสือ[แก้]
สัตว์ในกลุ่มเสือซึ่งหมายรวมถึงเสือและแมวทุกชนิด ถูกจัดอยู่ในกลุ่มของสิ่งที่มีชีวิตในวงศ์ฟิลิดี เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมซึ่งมีขนปกคลุมทั่วทั้งร่างกาย มีปอดไว้สำหรับหายใจ หัวใจมี 4 ห้องและมีลักษณะที่สำคัญที่สุดคือ ตัวเมียมีเต้านมและน้ำนมไว้สำหรับเลี้ยงลูกอ่อน ซึ่งส่วนใหญ่การปฏิสนธิและเจริญเติบโตของลูกอ่อน จะเกิดขึ้นภายในมดลูกของตัวเมีย มีเขี้ยวที่ใช้ฆ่าเหยื่อ มีฟันกรามที่คมเหมือนมีดไว้สำหรับตัดเนื้อ ซึ่งพัฒนามาจากฟันกรามที่ทำหน้าที่สำหรับบดเคี้ยว มีข้อต่อสำหรับกระดูกสันหลังที่ยืดหยุ่นเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการวิ่ง การเร่งความเร็วในการวิ่ง และการกระโจน มีนิ้วเท้า 5 นิ้วและเล็บแหลมคม
สัตว์กินเนื้อเริ่มปรากฏตัวขึ้นเป็นครั้งแรกในโลกเมื่อต้นมหายุคซีโนโซอิก (อังกฤษ: Cenozoic) หรือเมื่อประมาณ 65 ล้านปีก่อน ซากดึกดำบรรพ์ของสัตว์กินเนื้อในยุคนี้ คือกลุ่มของสัตว์ที่เรียกกันว่าไมเอซิดี (อังกฤษ: Miacidae)[7] ซึ่งเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีขนาดเล็ก ลักษณะลำตัวยาว มีหางสั้น มีอวัยวะที่ยื่นออกมาจากลำตัวและข้อต่อที่สามารถยืดหยุ่นได้เป็นอย่างดี ลักษณะของไมเอซิดีจะคล้ายกับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็กในปัจจุบันคือ จีเน็ต (อังกฤษ: Genets) ซึ่งเป็นสัตว์ที่มีลักษณะคล้ายกับสัตว์จำพวกชะมด (อังกฤษ: Civet) มีขนาดสมองที่เล็กและกะโหลกแบน มีอุ้งเท้าที่กว้างและนิ้วเท้าที่แยกออกจากกัน อาศัยในป่า แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มคือไวเวอร์ราวิน (อังกฤษ: Viverravines) และไมเอซิน (อังกฤษ: Miachines) ซึ่งมีการค้นพบซากดึกดำบรรพ์ในหินที่มีอายุประมาณ 39 ล้านปี และในช่วงระยะเวลา 39 ล้านปีก่อนนี้เอง ปลายสมัยอีโอซีน (อังกฤษ: Eocene) ซึ่งต่อกันกับสมัยโอลิโกซีน (อังกฤษ: Oligocene) เป็นช่วงเวลาที่สัตว์กินเนื้อปรากฏขึ้นบนโลกมากมายหลากหลายชนิด กระจายถิ่นฐานตามพื้นที่ต่าง ๆ อย่างกว้างขวางจนก้าวขึ้นมาเป็นผู้ปกครองโลกแทนไดโนเสาร์ที่พึ่งจะสูญพันธุ์ไป[4]
สัตว์กินเนื้อที่เรียกว่า ไมเอซิดี คือ ไวเวอร์ราวินและไมเอซิน เป็นจุดเริ่มต้นวิวัฒนาการของสัตว์กินเนื้ออีก 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ อาร์กทอยเดีย (อังกฤษ: Arctoidea) และ แอลูรอยเดีย (อังกฤษ: Aeluroidea) ซึ่งลักษณะของอาร์กทอยเดีย คือสัตว์กินเนื้อที่มีรูปร่างคล้ายหมี ได้แก่สัตว์จำพวกหมี แร็กคูน แมวน้ำ วอลรัส เพียงพอน (วีเซิล) หมูหริ่ง (แบดเจอร์) และหมีแพนด้า ส่วนแอรูรอยเดีย คือสัตว์กินเนื้อที่มีรูปร่างคล้ายเสือหรือแมว ได้แก่เสือหรือแมวทุกชนิด ไฮยีน่า จีเน็ตหรือสัตว์ในกลุ่มชะมดทุกชนิด ซึ่งมีลักษณะที่คล้ายคลึงกับสัตว์ประเภทไวเวอร์ราวิน ในส่วนของลักษณะโครงสร้างของร่างกาย เช่นโครงสร้างของกะโหลก ฟันและเท้าซึ่งได้รับการพัฒนาจากการปีนป่ายมาเป็นการวิ่งแทน
สำหรับสัตว์ในกลุ่มของเสือในปัจจุบันคือ ฟิลิดี หรือที่เรียกว่า "สัตว์ในกลุ่มเสือที่แท้จริง" (อังกฤษ: True Cats) ซึ่งในที่นี้รวมถึงเสือเขี้ยวดาบบางชนิดที่สูญพันธุ์ไปแล้วด้วย แต่สำหรับเสือเขี้ยวดาบนั้นไม่จัดอยู่ในกลุ่มเสือที่แท้จริงและสัตว์กินเนื้อที่มีลักษณะรูปร่างคล้ายเสือ แต่จัดอยู่ในกลุ่มที่เรียกว่า นิมราวิดี (อังกฤษ: Nimravidae) ซึ่งสูญพันธ์ไปจากโลกนี้เมื่อประมาณ 2 - 5 ล้านปีก่อน[8]
สัตว์ที่มีลักษณะคล้ายเสือและเสือที่แท้จริง[แก้]
ในปี พ.ศ. 2488 นักโบราณชีววิทยากลุ่มหนึ่งซึ่งเป็นชาวฝรั่งเศส ได้ศึกษาและเปรียบเทียบซากดึกดำบรรพ์ของสัตว์ที่มีลักษณะรูปร่างคล้ายเสืออายุประมาณ 24 - 39 ล้านปีก่อน กับซากดึกดำบรรพ์ของเสือในยุคสมัยประมาณ 25 ล้านปีจนถึงปัจจุบัน พบว่าสัตว์ทั้ง 2 กลุ่มนั้นมีลักษณะพื้นฐานทางกายภาพที่แตกต่างกัน จึงตั้งชื่อสัตว์ในกลุ่มแรกว่า พาลีโอฟีดิลิดส์ (อังกฤษ: Paleofeilds) และสัตว์ในกลุ่มสองว่า นีโอฟีลิดส์ (อังกฤษ: Neofelids) และต่อมาในภายหลังนักวิทยาศาสตร์ได้ตั้งชื่อวงศ์ให้แก่สัตว์ในกลุ่มพาลีโอฟีดิลิดส์ว่า "นิมราวิดี" และสัตว์ในกลุ่มนีโอฟิลิดส์ว่า "ฟิลิดี" ซึ่งก็คือกลุ่มของสัตว์คล้ายเสือหรือลักษณะของสัตว์ในกลุ่มเสือที่แท้จริง
สิ่งที่นิมราวิดิกับฟิลิดีวิวัฒนาการมาแตกต่างกันก็คือ กล่องหู (อังกฤษ: Auditory Bulla) ซึ่งเป็นโครงสร้างภายในกะโหลกและเป็นที่ตั้งของหูส่วนกลาง ซึ่งโครงสร้างของหูส่วนกลางนั้นประกอบไปด้วย กระดูกค้อน กระดูกทั่ง และกระดูกโกลน ซึ่งทำหน้าที่เชื่อมระหว่างเยื่อแก้วหูกับหูด้านใน สัตว์ในกลุ่มแอลูรอยเดียทั้งหมดจะมีลักษณะโครงสร้างส่วนนี้คล้ายคลึงกัน ยกเว้นก็แต่เพียงสัตว์คล้ายเสือในกลุ่มนิมราวิดีเท่านั้น ซึ่งสัตว์กินเนื้อในกลุ่มแอลูรอยเดีย จะมีกล่องหูที่โป่งพองเป็นโพรงขนาดใหญ่กว่าสัตว์ชนิดอื่น ๆ ซึ่งกล่องหูมีขนาดใหญ่มากขึ้นเท่าใด ความสามารถในการได้ยินก็จะดีมากขึ้นเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีแผ่นเยื่อบาง ๆ (อังกฤษ: Septum) ทำหน้าที่กั้นแบ่งกล่องหูเป็น 2 ห้อง แต่สัตว์ในกลุ่มนิมราวิดีจะไม่มีแผ่นเยื่อบาง ๆ ในกล่องหู ซึ่งแผ่นเยื่อบาง ๆ และกล่องหูเป็นโครงสร้างสำคัญที่ใช้แยกระหว่างสัตว์คล้ายเสือกับเสือที่แท้จริง
สัตว์คล้ายเสือในกลุ่มนิมราวิดี ส่วนมากจะมีเขี้ยวบนที่มีขนาดยาวและตัน จนมองดูเหมือนกับว่ามีลักษณะคล้ายกับดาบโค้งขนาดใหญ่ ส่วนเขี้ยวที่อยู่ด้านล่างจะมีขนาดลดลงอย่างสัมพันธ์กัน นอกจากนี้กระดูกบริเวณกรามล่างก็จะสั้นลงเพื่อป้องกันไม่ให้เขี้ยวโค้งบดเนื้อตัวเอง สำหรับฟันบริเวณด้านข้างหรือฟันกรามก็จะลดจำนวนลง และวิวัฒนาการเปลี่ยนแปลงจนมีลักษณะคล้ายใบมีด สัตว์คล้ายเสือที่แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัดคือ บาบัวโรฟีลิส (Barbourofelis) ซึ่งลักษณะของ เขี้ยวดาบ เคยปรากฏในกลุ่มเสือที่แท้จริงหรือตัวอย่างที่รู้จักกันเป็นอย่างดีก็คือ สมิโลดอน (Smilodon) ซากของสมิโลดอนถูกขุดพบเป็นจำนวนมากในรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา มีอายุประมาณ 2 ล้านปี ในขณะที่ซากดึกดำบรรพ์ของสัตว์กินเนื้อรูปร่างคล้ายเสือในกลุ่มนิมราวิดี ซึ่งมีอายุเก่าแก่กว่า คืออยู่ระหว่าง 7 - 37 ล้านปี
บรรพบุรุษของเสือที่แท้จริงหรือสัตว์ในกลุ่มฟิลิดี ได้แก่ โพรไอลูรัส (Proailurus) และ ซูดีรูรัส (Pseudaelurus) เป็นสัตว์ที่มีขนาดเล็ก มีโครงสร้างของระบบฟัน คล้ายกับเสือในปัจจุบันมาก โพรไอลูรัสอยู่ในสมัยโอลิโกซีน (Oligocene) พบซากดึกดำบรรพ์ในทวีปยุโรปส่วนซูดีรูรัสนั้นเป็นสัตว์ในสมัยไมโอซีน (Miocene) ซึ่งพบซากดึกดำบรรพ์ทั้งในทวีปยุโรปและทวีปอเมริกา ซึ่งทั้งสองชนิดจะมีแผ่นเยื่อบาง ๆ กั้นระหว่างกล่องหูเป็น 2 ส่วน ปัจจุบันสัตว์คล้ายเสือที่อยู่ในกลุ่มซูดีลูรัส ได้วิวัฒนาการมาเป็นเสือสกุลแพนเทอรา (Panthera) เช่น เสือโคร่ง และอย่างน้อยครั้งหนึ่งในอดีต สัตว์ในกลุ่มนี้ได้วิวัฒนาการรูปร่างและขนาดให้เล็กลง จนกระทั่งกลายมาเป็นเสือที่มีขนาดเล็กหลายชนิดหรือแมวในสกุล ฟิลิส (Felis) เช่น แมวดาว แมวป่า เป็นต้น[9]
|